- 09 มิ.ย. 2565
ผลการจัดอันดับล่าสุด 10 เมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก หลายเมืองในทวีปเอเชียยกขบวนติด Top10 สวนทางกับยุโรป
10 อันดับ เมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก ฮ่องกง ครองแชมป์สมัยที่ 3 ความน่าอยู่ของแต่ละเมืองและแต่ละประเทศ บ่งบอกคุณภาพชีวิตของประชากร ซึ่งจากผลการจัดอันดับล่าสุดของ ECA International ฮ่องกงครองแชมป์สมัยที่ 3 เมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก ขณะที่อีกหลายเมืองในเอเชียยกขบวนติด top ten สวนทางกับยุโรป ส่วนประเทศไทยอันดับร่วงเพราะภาวะเงินเฟ้อและน้ำมันแพง
ECA International บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลระดับนานาชาติ ซึ่งทำหน้าที่เก็บข้อมูลความเป็นอยู่ต่างๆ เพื่อนำมาจัดอันดับเมืองน่าอยู่ ได้ออกรายงานประจำปีโดยอ้างอิงดัชนี (ECA index)ที่มาจากผลการวิจัยที่แสดงค่าค่าครองชีพของแรงงานต่างชาติ หรือ พนักงานของบริษัทข้ามชาติที่ไปประจำสาขาที่ฮ่องกง (Expats) ใน 207 เมืองใหญ่ของ 120 ประเทศและดินแดน
โดยวัดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การแข็งค่าของสกุลเงิน ราคาสินค้าจำเป็นในครัวเรือน เช่น อาหาร นม น้ำมันปรุงอาหาร ค่าเช่าที่พัก ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ โดยพบว่าฮ่องกงยังครองแชมป์เมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แล้ว นั่นเป็นที่น่าสังเกตว่าแม้ฮ่องกงจะบอบช้ำจากเหตุการณ์ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย และสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย แต่ราคาค่าที่พักไม่ได้ลดลงเลย เมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก
ทั้งๆ ที่ในทางทฤษฎีปัจจัยเหล่านี้น่าจะทำให้อุปสงค์ด้านที่พักอาศัยลดลง ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนมองว่าเพราะฮ่องกงยังเป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งเอเชีย และเป็นแกนหลักในโครงการ "อ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า" (Greater Bay Area) หรือ GBA ที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม เทคโนโลยีทันสมัย เป็นจุดบ่มเพาะสตาร์ทอัพทีสำคัญทั้งของจีนและของโลก จึงยังดึงดูดนักลงทุนทำให้ฮ่องกงยังคงยืนหนึ่งอยู่ได้
อีกทั้ง ECA index ยังชี้ว่า เอเชียเป็นทวีปที่ค่าครองชีพแพงที่สุด เพราะมีถึง 5 เมือง ที่ติดกลุ่ม top ten ได้แก่ ฮ่องกง โตเกียว เซี่ยงไฮ้ กวางโจว และโซล ซึ่งถ้ารวมเมืองในตะวันออกกลางมาอยู่ในกลุ่มเดียวกับเอเชียซึ่งก็คือ เทล อาวีฟ ของอิสราเอล ที่อยู่ในอันดับ 6 ก็จะทำให้เอเชีย มีเมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกถึง 6 เมือง ในอันดับ top ten
ทั้งนี้ เอเชียยังได้ชื่อว่าเป็นบ้านของเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในรายชื่อที่ถูกจัดอันดับ โดยกรุงโคลัมโบ มหานครหลักของศรีลังกา กระโดดขึ้นมา 23 อันดับ จาก 162 เป็น 149 ซึ่ง ลี เควน ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียของ ECA อธิบายถึงเหตุผลที่อันดับของเมืองของจีนแผ่นดินใหญ่สูงขึ้น ก็เพราะเงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ
ถ้าแยกเป็นกลุ่มประเทศในอาเซียนพบว่า สปป.ลาว กับเมียนมา ไม่ติดอันดับ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเกือบ 10% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา สวนทางกับสกุลเงินที่อ่อนค่าลงอย่างมาก โดย สปป.ลาว กำลังประสบปัญหาการส่งออกไปจีนลดลง รวมถึงต้องชำระหนี้ต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่วนเมียนมาเผชิญปัญหาค่าเงินจ๊าดอ่อนค่าจากสภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง นับตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อปี 2564
สิงคโปร์อยู่อันดับดีที่สุดคือ 13 ส่วนมาเลเซียกับไทย ต้องรับมือกับปัญหาราคาน้ำมันโดยมาเลเซียเพิ่มขึ้น 49% และไทย 33% แต่ยังมีผลดีคือ ราคาค่าเช่าที่พักอาศัยถูกลง ซึ่งนักวิเคราะห์ชี้ว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีส่วนสัมพันธ์กันในลักษณะนี้ มีส่วนผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมืองอื่นๆ อีกหลายแห่ง ทำให้ถูกมองว่าเมืองใหญ่ในประเทศทั้งสองมีค่าครองชีพที่ไม่แพงมากสำหรับชาวต่างชาติ ทำให้อันดับของมาเลเซียตกลงไปอยู่ที่ 163 ส่วนไทยตกลงไป 13 อันดับ อยู่ที่ 47
ส่วนยุโรป ปารีส มาดริด โรม และบรัสเซลส์ พากันหลุดออกไปจาก 30 อันดับแรก โดยเควนอธิบายว่า เกือบทุกเมืองใหญ่ใน "ยูโรโซน" มีอันดับที่ลดลงในปีนี้ เนื่องจากค่าเงินสกุลเงินยูโรลดลงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งแย่กว่าดอลลาร์สหรัฐฯ และปอนด์ของอังกฤษ และยังมีปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น การเมืองและความขัดแย้งระหว่างประเทศ การบุกยูเครนของรัสเซียและการร่วมวงคว่ำบาตรรัสเซียของหลาย ๆ ประเทศ ทำให้รัสเซียตกไปอยู่อันดับที่ 62 ส่วนเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก อยู่อันดับที่ 147
ปัจจุบันเมืองที่แพงที่สุดของยุโรปคือ นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์ ที่อยู่อันดับ 3 รองจากฮ่องกงกับนิวยอร์ก อาจเป็นเพราะสวิตเซอร์แลนด์ยังใช้สกุลเงินฟรังก์ไม่ใช่สกุลเงินยูโร ขณะเดียวกันก็ไม่อาจละเลยปัจจัยสำคัญอย่างการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ
เมืองที่แพงที่สุดในโลก 10 อันดับ ได้แก่
1. ฮ่องกง
2. นิวยอร์ก
3. เจนีวา
4. ลอนดอน
5. โตเกียว
6. เทล อาวีฟ
7. ซูริค
8. เซี่ยงไฮ้
9. กวางโจว
10. โซล