สื่อต่างประเทศตื่นเต้น เกาะติดรื้อสายสื่อสารในไทย ที่ระโยงระยางใน กทม.

สื่อต่างประเทศส่งผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เกาะติดการรื้อสายสื่อสารในประเทศไทย ที่ระโยงระยางใน กรุงเทพมหานคร

สื่อต่างประเทศเกาะติดรื้อสายสื่อสารในไทย ที่ระโยงระยางใน กทม. กลายเป็นภาพที่ชาวเน็ตในโลกออนไลน์ต่างสนใจอย่างมาก เมื่อสื่อญี่ปุ่นเกาะติดการรื้อสายสื่อสารที่ระโยงระยางใน กทม. ที่แม้จะเป็นจุดเช็คอินของต่างชาติแต่ก็บดบังทัศนียภาพอันสวยงามของเมือง และยังอาจก่อให้เกิดอันตรายทั้งอุบัติเหตุและเพลิงไหม้อีกด้วย 

สื่อต่างประเทศเกาะติดรื้อสายสื่อสารในไทย ที่ระโยงระยางใน กทม.

โดยสื่อญี่ปุ่น ANN News ส่งผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เกาะติดการรื้อสายสื่อสารในประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ภายใต้โครงการจัดระเบียบสายสารสื่อสารในกรุงเทพฯ บริเวณหน้าสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ซอยสุขุมวิท 55 ซึ่งเป็นย่านที่มีชาวญี่ปุ่นพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก 


ตามรายงานระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำการรื้อสายสื่อสาร (สายอินเตอร์เน็ต, สายโทรศัพท์) ที่ไม่ได้ใช้งานและทอดผ่านเสาไฟฟ้าระโยงระยาง ซึ่งไม่เพียงแต่ทำลายทัศนียภาพของเมืองแต่ยังทำให้เกิดปัญหาทางสังคม 


เช่น สายสื่อสารที่ตกลงมาทำให้เกิดอุบัติเหตุกับผู้ขี่จักรยานยนต์ หรือเกิดการลัดวงจรทำให้ไฟไหม้ คนขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างคนหนึ่งบอกว่า การนั่งใกล้บริเวณนั้นไม่ปลอดภัยเพราะบางครั้งสายสื่อสารตกลงมา 

สื่อต่างประเทศเกาะติดรื้อสายสื่อสารในไทย ที่ระโยงระยางใน กทม.

อีกทั้งในรายงานระบุด้วยว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้พยายามเร่งแก้ปัญหาสายสื่อสารที่ไม่ได้ใช้งาน ในขณะที่สายสื่อใหม่ถูกเติมเข้ามาเรื่อยๆ โดยบอกว่าโครงการจัดระเบียบสายสื่อสาร ซึ่ง กสทช. เป็นเจ้าภาพ และเป็นความร่วมมือของหลายหน่วยงาน ทั้ง กทม., การไฟฟ้านครหลวง, ผู้ประกอบการ เป็นนิมิตรหมายที่ดีที่ กสทช. มีโครงการจัดระเบียบสายสื่อสารที่รกรุงรัง แม้จะยังไม่ได้ลงดิน 


อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามไปยัง บจม.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ทำให้ทราบว่าขณะนี้มีสายที่ไม่ได้ใช้งานมากกว่า 50% ถ้าเอาสายเหล่านี้ออกไปก็จะทำให้ดูสะอาดขึ้น เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น และลดอันตรายที่อาจจะเกิดจากอัคคีภัยได้ โดยมีเป้าหมายกำจัดออกไป 800 กิโลเมตร ภายใน 2 ปี 

สื่อต่างประเทศเกาะติดรื้อสายสื่อสารในไทย ที่ระโยงระยางใน กทม.

ภาพเพิ่มเติมที่ เนชั่นทันโลก NTV World News

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thainewsonline