- 21 ก.ย. 2565
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กำลังพบกับความเป็นจริงที่เจ็บปวด มูลค่าความมั่งคั่งหายไป ฉุดให้ร่วงจากอันดับมหาเศรษฐีต้นๆ ของโลกร่วงกราว
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กำลังพบกับความเป็นจริงที่เจ็บปวด อันดับเศรษฐีร่วง ทำเอา มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ที่คลั่งไคล้โลกเสมือนจริงอย่าง "Metaverse" ต้องเสียวสันหลังวาบเลยทีเดียว เมื่อเขา กำลังพบกับความเป็นจริงที่เจ็บปวดในโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อมูลค่าความมั่งคั่งของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง ฉุดให้ร่วงจากอันดับมหาเศรษฐีต้นๆ ของโลก ไปอยู่อันดับที่ 20
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ Facebook ที่หลงใหล "Metaverse" หรือ โลก 3 มิติ ที่ผสมผสานทั้งโลกจริงและโลกเสมือนแบบไร้รอยต่อ จนถึงขั้นเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta ต้องเผชิญความเป็นจริงที่ว่า ความมั่งคั่งของเขาลดลงไป 71,000 ล้านดอลลาร์ (กว่า 2 ล้าน 6 แสนล้านบาท) ในปีนี้
โดย ดัชนีมหาเศรษฐีของบลูมเบิร์ก (Bloomberg Billionaire Index) ชี้ว่าอันดับเศรษฐีโลกของซัคเคอร์เบิร์กร่วงลงไปอยู่ที่ 20 มีทรัพย์สินสุทธิเหลือ 55,900 ล้านดอลลาร์ (ราว 2 ล้านล้านบาท) ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2557 ตามหลังตระกูลวัลตันส์ (Waltons) เจ้าของกิจการค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของโลก " Walmart"
อีกทั้งยังตามหลัง ตระกูลโคช (Koch) เจ้าของกิจการ "Koch Industries" ทั้งที่ในเวลาไม่ถึง 2 ปีก่อนหน้านี้ ซัคเคอร์เบิร์กวัย 38 ปี มีทรัพย์สินมูลค่า 106,000 ล้านดอลลาร์ (3,900 ล้านล้านบาท) อยู่ในกลุ่มมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก ร่วมกับเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน (Amazon) และบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์
เมื่อเดือนกันยายน ปี 2564 มูลค่าหุ้นของ Meta พุ่งสูงถึง 382 ดอลลาร์ (กว่า 14,000 บาท) ทำให้ทรัพย์สินของซัคเคอร์เบิร์กมีมูลค่ามหาศาลถึง 142,000 ล้านดอลลาร์ (กว่า 5 ล้าน 2 แสนล้านบาท) และในเดือนต่อมาซัคเคอร์เบิร์กได้เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook เป็น Meta สะท้อนถึงความทะเยอทะยานที่ต้องการให้ Facebook เป็นมากกว่าโซเชียลมีเดีย และมุ่งสู่ metaverse ซึ่งเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมของโลกแห่งความจริงกับเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น "ชุมชนโลกเสมือนจริง"
ทั้งนี้ ปัญหาของซัคเคอร์เบิร์กเริ่มก่อตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ จากรายงานผลประกอบการที่ตกต่ำ เมื่อจำนวนผู้ใช้ Facebook รายเดือนไม่ได้เพิ่มขึ้น นำไปสู่ "การล่มสลาย" ของราคาหุ้นครั้งประวัติศาสตร์ ทำให้ทรัพย์สินของซัคเคอร์เบิร์กหายไป 31,000 ล้านดอลลาร์ (กว่า 1 ล้าน 1 แสนล้านบาท) กลายเป็นหนึ่งในการสูญเสียความมั่งคั่งในวันเดียวอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลภายในที่เป็นผลวิจัยของบริษัทเอง (Creators x Reels State of the Union 2022) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนสิงหาคมชี้ว่า ซัคเคอร์เบิร์กเดิมพันแบบสุดตัวด้วยการทุ่มให้กับฟีเจอร์ Reels ใน Instagram เพื่อหวังดึงผู้ใช้จากคู่แข่งอย่าง TikTok แต่กลับพบข้อมูลที่น่าตกใจว่า ยอด engagement ของ Reels ตกลงถึง 13.6% ในช่วง 4 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ และผู้ใช้งาน Reels ส่วนใหญ่แทบไม่มี engagement อีกทั้งวิดีโอเกือบ 1 ใน 3 ของ Reels ถูกสร้างจากแพลตฟอร์มอื่น ซึ่งก็คือเอาวิดีโอจากแพลตฟอร์มอื่นที่ได้รับความนิยมสูงกว่า ส่วนใหญ่ คือ TikTok มารีไซเคิลนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเทียบกัน มีผู้ใช้งาน Reels รวมกัน 17.6 ล้านชั่วโมง ไม่ถึง 1 ใน 10 ของจำนวนระยะเวลาผู้ใช้ TikTok ที่อยู่บนแพลตฟอร์มนานถึง 197.8 ล้านชั่วโมง
ภาพจาก Mark Zuckerberg
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thainewsonline