ประท้วงยังเดือด นองเลือดต่อเนื่องประชาชนไร้ที่ปลอดภัย

ประท้วงยังเดือด นองเลือดต่อเนื่องประชาชนไร้ที่ปลอดภัย ยังดุเดือดต่อเนื่องสำหรับ การประท้วงอิหร่าน สืบเนื่องจากที่ต้นเหตุมาจาก ผู้หญิงคนหนึ่งเสียชีวิตหลังถูกตำรวจจับเพราะไม่สวมฮิญาบ ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานว่า สถานการณ์รุนแรงมากขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น  26  ราย และขยายวงกว้างไปอีกหลายประเทศ

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ มาห์ซา อามินี สาววัย 22 ปี เชื้อสายเคิร์ด ถูกตำรวจศีลธรรมจับกุมในกรุงเตหะรานเมื่อวันที่ 13  ก.ย. โดยเหตุผลที่เธอถูกจับเนื่องจากไม่สวมฮิญาบคลุมศีรษะและละเมิดระเบียบการแต่งกายอื่นๆ ก่อนจะพบว่า เธอเสียชีวิตในอีก  3  วันต่อมา ซึ่งผู้ชุมนุมที่โกรธแค้นก่อเหตุเผาสถานีตำรวจและรถสายตรวจ และตำรวจถูกกล่าหาว่าใช้อาวุธหนักหรือกึ่งอาวุธหนักเข้าสลายผู้ประท้วงในบางแห่ง

นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ที่บ่งชี้ว่า ผู้หญิงไม่ได้เป็นเบี้ยล่างอีกต่อไป เมื่อมีคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นชายคนหนึ่ง ลงจากรถมอเตอร์ไซค์ปรี่เข้าไปตบผู้หญิงคนหนึ่งในพื้นที่ที่กำลังมีการประท้วง ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์เพื่อหวังจะขี่รถออกไปอย่างลอยนวล แต่สถานการณ์ไม่ได้เอื้อให้อย่างที่ใจคิด เมื่อมีผู้ชายที่เห็นเหตุการณ์ตรงเข้าไปรุมทำร้ายเขา จนต้องหนีหัวซุกหัวซุน ก่อนคลิปวิดีโอจะตัดไปโดยไม่ทราบชะตากรรมของชายผู้นี้ 

- หนุ่มห้าวทำร้ายสาวในกลุ่มประท้วง เจอสั่งสอนจนหลาบจำไปอีกนาน

 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ล่าสุดมีรายงานว่า การประท้วงในอิหร่านที่มีผู้หญิงเป็นแกนนำ ทวงความยุติธรรมให้มาห์ซา อามินี หญิงสาววัย 22 ปี ที่ถูกตำรวจศีลธรรมจับฐานสวมฮีญาบหลวมเกินไปก่อนจะทารุณกรรมจนเสียชีวิต ได้ดำเนินมา 11 วันแล้ว และแม้จะมีผู้เสียชีวิตจากการลุกฮือครั้งนี้ไปถึง 75 คน แต่รายงานที่ไม่ได้รับการยืนยันระบุว่าในการประท้วง 10 วันแรก ใน 154 เมือง มีผู้เสียชีวิต 200 คน และถูกจับ 10,000 คน 

ขณะเดียวกัน ผู้หญิงหลายพันคนก็ยังคงแสดงออกถึงการต่อต้านระบอบที่มีอยาโตลาห์ อาลี คาเมเนอี เป็นผู้นำสูงสุดต่อไป โดยการตัดผมและเผาฮีญาบ มีคลิปที่เป็นไวรัลในโซเชียลมีเดียแสดงให้เห็นเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง 10 คน ยิงผู้หญิงคนหนึ่งก่อนเข้าไปรุมทุบตี กับคลิปที่ระบุว่าเป็นทีมสังหารที่ถูกส่งไปยิงคนที่ร้องตะโกนต่อต้านระบอบตามอะพาร์ตเมนต์ โดยระบุว่า "พวกคุณไม่มีทางปลอดภัยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราจะไปจัดการพวกคุณถึงบ้าน" 

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thainewsonline