- 25 พ.ค. 2566
สาววัย 13 "ดมสเปรย์ระงับกลิ่นกาย" เทรนด์ฮิตโซเชียล สุดท้ายอาการโคม่า พ่อแม่ใจแทบสลาย ก่อนตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจ
จากกรณีที่ถูกพูดถึงเป็นจำนวนมากในโลกออนไลน์ เมื่อเว็บไซต์ต่างประเทศมีรายงานว่า ครอบครัวหนึ่งต้องสูญเสียลูกสาววัย 13 ปี ไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากที่เธอลองทำตามเทรนด์ฮิต จนกระทั่งนำมาสู่อาการโคม่า และเสียชีวิตในที่สุด
รายงานระบุว่า สาวน้อยวัย 13 ปี อาศัยที่เมืองเมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย ทางตอนใต้ของ ประเทศออสเตรเลีย เธอได้เสียชีวิตหลังจากลองทำตามกระแสโซเชียลที่เรียกว่า "โครมมิ่ง" (chroming) ภายหลังครอบครัวของเด็กหญิงผู้เสียชีวิตเรียกร้องให้มีการดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยขึ้นอีก
โดย ด.ญ.เอสรา เฮย์เนส วัย 13 ปี ทำตามกระแสนิยมบนโลกโซเชียลที่เรียกว่า "โครมมิ่ง" ซึ่งเป็นการสูดดมสารต่างๆ เช่น สีโลหะ ตัวทำละลาย น้ำมันและสารเคมีจากกระป๋องสเปรย์ โดยเฉพาะสเปรย์ระงับกลิ่นกาย เพื่อให้เกิดความรู้สึกมึนเมาเหมือนเสพสารเสพติด ด้านนิวส์ดอตคอม เว็บไซต์ข่าวท้องถิ่นระบุว่าเธอไปนอนค้างบ้านเพื่อนเมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา และเอสราได้ลองสูดดมสเปรย์จากกระป๋องระงับกลิ่นกาย
ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน จนต้องใช้เครื่องช่วยพยุงชีพเป็นเวลานาน 8 วัน แต่ท้ายที่สุดแพทย์บอกว่า "สมองของเธอเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซมได้" และครอบครัวตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจ โดย นายพอล และ นางแอนเดรีย เฮย์เนส พ่อแม่ของเอสรา รวมถึงเซธและชาร์ลี พี่น้องของเด็กสาว พากันกอดเธอจนวินาทีสุดท้าย
ทั้งนี้ในรายงานของสื่อออสเตรเลียระบุด้วยว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กวัยรุ่นออสเตรเลียเสียชีวิตหลังพยายามทำการสูดดมสารพิษตามเทรนด์โครมมิ่ง โดยในปี 2562 มีเด็กหนุ่มวัย 16 ปี เสียชีวิต และยังมีวัยรุ่นสาวที่สมองได้รับความเสียหายจากการทำตามเทรนด์ดังกล่าว
พร้อมกันนี้ หลังจากการเสียชีวิตของเอสรา กระทรวงศึกษาธิการรัฐวิกตอเรียกล่าวว่าจะเพิ่มความพยายามในการให้ข้อมูลและความรู้แก่เด็กๆ ในเรื่องผลเสียที่ร้ายแรงของการโครมมิ่ง
ขณะที่ครอบครัวเฮย์เนสทำภารกิจช่วยสร้างความตระหนักถึงอันตรายจากการสูดดมสารพิษ เนื่องจากพวกเขาเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าการโครมมิ่งคืออะไร กระทั่งได้รับสายโทรศัพท์จากโรงพยาบาลที่แจ้งเรื่องลูกสาว
หลังจากนั้นพวกเขาก็แนะนำเด็กและวัยรุ่นเพื่อไม่ให้ทำผิดซ้ำรอยเหมือนลูกสาวของตน นายเฮย์เนสกล่าวกับเฮรัลด์ซันว่า "พวกเราอยากช่วยเหลือเด็กๆ ไม่ให้พลาดตกหลุมพรางจากการทำสิ่งไร้สาระพวกนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่อาจจะเป็นสงครามครูเสดของเรา ไม่ว่าคุณพยายามจะช่วยเหลือมากแค่ไหน แต่คุณไม่สามารถบังคับพวกเขาได้ หากมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาอยากจะทำด้วยตัวเอง"
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ครอบครัวยังเรียกร้องให้การทำซีพีอาร์เป็นบทเรียนภาคบังคับในโรงเรียน และเรียกร้องให้บริษัทผู้ผลิตสเปรย์ระงับกลิ่นกายปรับสารประกอบในผลิตภัณฑ์ให้มีความปลอดภัยมากขึ้นและเป็นพิษน้อยลง
ข้อมูลจาก สเตรตส์ไทมส์