งานละเอียด!!!เปิดคำพิพากษา"ผลประโยชน์ทับซ้อน"ยุคทักษิณ"ก่อนส่งเลี้ยบ"เข้าซังเต(รายละเอียด)

เปิดคำพิพากษาผลประโยชน์ทับซ้อนยุคทักษิณก่อนส่งเลี้ยบเข้าซังเต

"หมอเลี้ยบ" หรือนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)ในรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลัง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปีโดยไม่ลงรอลงอาญา ในคดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

กรณีอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยไม่เสนอให้ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปฯ และบริษัทชิน แซทฯ ทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ กระทรวงไอซีทีเเละทางราชการ

ศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษา พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแล้วได้ความจากการไต่สวนพยานทั้งสองฝ่ายว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติอนุมัติให้บริษัทชินคอร์ปฯเป็นผู้รับสัมปทานดาวเทียม ต่อมาวันที่ 11ก.ย.34 มีการทำสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมระหว่างกระทรวงคมนาคมกับบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด โดยนายทักษิณ ชินวัตร ขณะนั้นเป็นประธานกรรมการบริษัท ซึ่งปัจจุบันบริษัทเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทชินคอร์ปฯ ซึ่งตามสัญญาข้อ 4 กำหนดให้บริษัทชินคอร์ปฯ จะต้องจัดบริษัทขึ้นใหม่มาดำเนินการตามสัญญาภายใน 12 เดือน และจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51

นอกจากนี้บริษัทชินคอร์ป และบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ดังกล่าวต้องรับผิดชอบตามสัญญาต่อกระทรวงในลักษณะร่วมกันและแทนกัน ซึ่งภายหลังมีการจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่คือบริษัท ชิน แซทฯ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทไทยคม จำกัด (มหาชน) แล้วมีการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 1 เพื่อให้บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่เข้ามาร่วมรับผิดตามสัญญา โดยมีนายทักษิณ ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริษัทเป็นผู้ลงนามในสัญญา

ต่อมาวันที่ 24 ธ.ค.46 บริษัทชิน แซทฯ มีหนังสือถึงกระทรวงไอซีทีขออนุมัติให้บริษัทชินคอร์ปฯ ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทชิน แซทฯ ให้เหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยอ้างว่าธุรกิจให้บริการช่องดาวเทียมไอพีสตาร์ต้องใช้เงินทุนสูงถึง 1.4 หมื่นล้านบาท บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องให้พันธมิตรหรือเจ้าของแหล่งทุนเข้ามามีส่วนในการถือหุ้น โดยนายไชยยันต์ จำเลยที่ 3 ได้รับมอบหมายให้ศึกษาวิเคราะห์การขอแก้ไขสัญญาสัมปทานในครั้งนี้ และนายไกรสร จำเลยที่ 2 ในฐานะปลัดกระทรวงได้เสนอความเห็นว่าการลดสัดส่วนถือหุ้นดังกล่าวบริษัทชินคอร์ปฯ ยังคงรับผิดชอบการทำตามสัญญาได้ต่อไปและไม่ขัดต่อกฎหมาย โดยนพ.สุรพงษ์ จำเลยที่ 1 ได้อนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานนั้น โดยไม่ได้เสนอครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ

ศาลฎีกาฯวินิจฉัยแล้วเห็นว่า ข้อกำหนดเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น เป็นข้อเสนอเพิ่มเติมของบริษัทชินคอร์ปฯ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเจรจาระหว่างบริษัทกับคณะกรรมการพิจารณาสัมปทาน จึงเป็นเรื่องของคุณสมบัติและความสามารถของผู้รับสัมปทานที่เป็นสาระสำคัญของสัญญา และเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งที่ครม.ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบบริษัทชินคอร์ปฯ เป็นผู้รับสัมปทาน การแก้ไขสัญญาในเรื่องนี้จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากครม.

การที่นพ.สุรพงษ์ จำเลยที่ 1 อนุมัติให้แก้ไขสัญญาโดยให้บริษัทชิน แซทฯ ลดสัดส่วนผู้ถือหุ้นบุคคลสัญชาติไทยจาก 51% ให้เหลือ 40 % ทำให้เกิดความเสี่ยงในการครอบงำกิจการของชาวต่างชาติที่จะมีผลต่อกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติ ขัดต่อเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายกิจการโทรคมนาคม ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้นำเสนอต่อครม.ตามขั้นตอน แม้จำเลยที่ 1 อ้างว่าได้ส่งหนังสือหารือถึงสำนักงานอัยการสูงสุด โดยนายชัยเกษม นิติศิริ รองอัยการสูงสุด ปฏิบัติหน้าที่แทนอัยการสูงสุด ตอบกลับในครั้งแรกว่าโดยตั้งข้อสังเกตให้นำเรื่องการแก้ไขสัญญาเข้าสู่การพิจารณาของครม.

เมื่อเลขาธิการครม.ปฏิเสธไม่รับเรื่อง โดยเสนอให้จำเลยที่ 1 ถอนเรื่อง แล้วจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือหารือมาทางสำนักงานการอัยการสูงสุดอีกครั้งว่าในฐานะหัวหน้าหน่วยราชการมีอำนาจอนุมัติแก้ไขสัญญาได้หรือไม่ โดยสำนักงานอัยการสูงสุดตอบกลับว่ามีอำนาจ แต่เป็นการตอบกลับโดยไม่ทราบเบื้องหลังว่าจำเลยที่ 1 ปกปิดความจริงที่เลขาธิการครม.แจ้งทางโทรศัพท์ปฏิเสธการรับเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม เนื่องจากนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เป็นคู่สัญญากับบริษัทเอกชน ทำให้มีผลประโยชน์ทับซ้อน

อีกทั้งการอนุมัติแก้ไขสัญญาไม่ได้ทำให้ราชการได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้น แต่กลับได้รับความเสี่ยง ซึ่งการแก้ไขสัดส่วนผู้ถือหุ้นทำให้บริษัทเอกชนได้รับประโยชน์เพียงฝากเดียว เพราะกรณีดังกล่าวก็สืบเนื่องจากข้อเสนอเพิ่มเติมจากบริษัทเอกชน การกระทำนั้นยังเป็นการลดทอนความมั่นคงและความมั่นใจในการดำเนินโครงการดาวเทียมของบริษัทชินคอร์ปฯ ในฐานะผู้รับสัมปทานโดยตรง ที่จะต้องมีอำนาจการควบคุมบริหารจัดการอย่างเด็ดขาด ซึ่งการลดสัดส่วนอาจทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีอยู่ 60 % รวมตัวกันคัดค้านการดำเนินการใดๆ ของบริษัทได้ แม้จะมีโอกาศน้อยแต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนก็จะไม่เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นเลย"

จากคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ชี้ให้เห็นผลประโยชน์ทับซ้อนในสมัยรัฐบาลยุคนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้อย่างชัดเจนที่สุด


ที่มา ไทยโพสต์