- 16 ม.ค. 2561
สมคิดทุบโต๊ะ 6 แสนล้านเดินเครื่องอีอีซีปีนี้ เร่ง 5 เมกะโปรเจกต์พื้นฐาน “รถไฟความเร็วสูง สนามบิน ท่าเรือ” วางเป้าต่างชาติลงทุน 5 ปี เกิน 5 แสนล้าน หว
วานนี้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฝ่ายเศรษฐกิจเดินไปทางไปติดตามความคืบหน้าและมอบนโยบายโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ห้องประชุม1 ชั้น2 อาคารสำนักปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายคณิต แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม ร่วมประชุม
หลังการประชุมนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรมแถลงผลการหารือว่า ปีนี้รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าลงทุน 5 โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(EEC) ขณะที่คาดร่างกฎหมายอีอีซีจะแล้วเสร็จในเดือนก.พ.นี้ เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ โดยการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานจะมีมูลค่าประมาณ 6 แสนล้านบาท ตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี 2565 ประกอบด้วยรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน การขยายท่าอากาศยานอู่ตะเภา ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา(MRO), ท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 และการขยายท่าเรือแหลมฉบัง
“ ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.อีอีซี อยู่ระหว่างรอเสนอเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในวาระสาม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนก.พ.60 เพื่อมารองรับการลงทุน” รมว.อุตสาหกรรมกล่าว
นายอุตตมกล่าวต่อว่า คาดว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการขยายท่าอากาศยานอู่ตะเภา จะประกาศร่างเอกสารประกวดราคา(ทีโออาร์) ในเดือนก.พ.นี้ และจะคัดเลือกเอกชนเสร็จในเดือนก.ค. พร้อมลงนามในสัญญาเดือนก.ย.60 โดยมีแผนเปิดบริการในปี 66 ส่วน MRO นั้น จะประกาศทีโออาร์ในเดือนมี.ค., คัดเลือกเอกชนในพ.ค. และลงนามสัญญาในเดือนก.ค. โดยเปิดบริการในปี 64 ขณะที่โครงการลงทุนท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 จะประกาศทีโออาร์ในเดือนมี.ค., คัดเลือกเอกชนในก.ย. และลงนามสัญญาในพ.ย.60 ก่อนเปิดให้บริการในปี 67 ส่วนการขยายท่าเรือแหลมฉบังนั้น จะประกาศทีโออาร์ในเดือนส.ค., คัดเลือกเอกชนในพ.ย. และลงนามในสัญญาเดือนธ.ค.นี้ โดยจะเปิดใช้ปี 68
ด้านนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม กล่าวว่า การลงทุนในพื้นที่EEC เพื่อต้องการให้มีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมการบินในสนามบินอู่ตะเภา และการขยายท่าเรือครั้งใหญ่
“ เราไม่ได้พัฒนาเพื่อให้เป็นแค่สนามบิน แต่จะทำเป็น Hub ทางการบิน ปัจจุบันรองรับได้ 3 ล้านคน ในอนาคตจะขยายให้รองรับได้ 30 ล้านคน ในส่วนการลงทุนขยายท่าเรือในพื้นที่ EEC ดังกล่าว จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์ ได้ถึง 12-15 ล้านตู้ TEU/ปี จากขณะนี้ได้เพียง 7 ล้านตู้ TEU/ปี และจะทำให้ท่าเรือของไทย มีขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในสามของเอเชียอาคเนย์ โดยใกล้เคียงกับสิงคโปร์และมาเลเซีย” รมช.คมนาคมกล่าว
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(กรศ.) กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐาน 5 โครงการใน EEC จะมีมูลค่าราว 6 แสนล้านบาท ในช่วงปี 60-65 ซึ่งแบ่งเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูง มูลค่า 2 แสนล้านบาท,การขยายสนามบินอู่ตะเภา 2 แสนล้านบาท และโครงการขยายท่าเรือมาบตาพุดและแหลมฉบังอีก 2 แสนล้านบาท นอกจากนี้ตั้งเป้าจะมีการลงทุนของอุตสาหกรรมต่างๆ ในช่วง 5 ปี รวมมูลค่า 5 แสนล้านบาท และเบื้องต้นนายสมคิดให้มีการปรับเป้าในการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่กับนายกฯที่ทำเนียบในวันที่ 1 ก.พ. เพราะเชื่อแน่ว่าจะเกินเป้าแน่
“ โครงการใน EEC ถ้าแล้วเสร็จ น่าจะผลักดันจีดีพีได้อีกราว 2% และรัฐบาลมีเป้าหมายประกาศเป็นพื้นที่ EEC ในปีนี้ราว 5 หมื่นไร่ ในจ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เพื่อให้นักลงทุนได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวทั้งนี้คาดหวังว่า บริษัทของจีนจะมาลงทุนไม่น้อยกว่าการลงทุนของญี่ปุ่นที่เคยลงทุนในอีสเทิร์นซีบอร์ด” นายคณิตกล่าว
ต้องรอดูว่ามหาเมกกะโปรเจกต์อีอีซีรอบนี้ของรัฐบาลจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นและเป็นโบว์แดงที่จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่ต่อได้เป็นนายกฯรอบ 2 ได้หรือไม่