"หมอเหรียญทอง" โพสต์เปิดใจ ถ้าไม่ยึดอำนาจปี49 พธม.จะล้มตาย แต่ไม่ได้แก้ปัญหาให้ประเทศอย่างแท้จริง

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

วันนนี้ (18 ก.ย.)  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "เหรียญทอง แน่นหนา" เล่าถึงเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อปี 2549 ที่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)  ซึ่งรวมตัวกันออกมาขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท. (ยศในขณะนั้น) ทักษิณ ชินวัตร และเหตุผลที่ตัวเองตัดสินใจลาออกจากราชการทหาร  รวมถึงการลุกขึ้นมาต่อสู้กับขบวนการหมิ่นสถาบัน  โดยข้อความที่โพสต์ระวุว่า


"เมื่อปี พ.ศ.2549 ระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน มีการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขณะนั้นผมยังรับราชการทหารในตำแหน่งผู้อำนวยการกองยุทธการและการข่าว กรมแพทย์ทหารบก ผมได้ติดตามและประเมินสถานการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติการทางการแพทย์หากเกิดสถานการณ์ความรุนแรงไม่สงบขึ้นจนกองทัพต้องปฏิบัติภารกิจรักษาความสงบ

ผมพบว่าผู้ชุมนุมจำนวนมากมาด้วยอุดมการณ์รักชาติ มาด้วยความเสียสละ ไม่ได้มีใครจ้างมา ผมได้เห็นคนสูงอายุ ได้เห็นคนจากทุกสังคมมาร่วมกัน ทุกคนล้วนมีอุดมการณ์จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีใครจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำให้ผมรู้สึกชื่นชมและประทับใจ ผมไม่ได้บอกความรู้สึกนี้ให้ใครทราบหรอกนะครับ(เพิ่งจะบอกในโพสต์นี้แหละครับ)

สถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมส่อเค้าอย่างชัดเจน มีการนำกำลังจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้และมวลชนที่พร้อมจะเผชิญหน้าใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม จนในที่สุดการยึดอำนาจรัฐประหารก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และจำเป็นต้องเกิดขึ้นโดย พลเอก สนธิ บุญรัฐกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ทหารทุกนายต้องรายงานตัวในคืนวันที่ 19 ก.ย.49

คืนนั้นผมไปรายงานตัวแล้วจัดตั้ง "วอร์รูม (War room)" สำหรับการปฏิบัติการทางการแพทย์เพื่อสนับสนุนการรักษาความสงบทันที คืนนั้นผมรู้สึกโล่งใจที่สถานการณ์ชุมนุมสิ้นสุดลง กองทัพเข้ามายุติสถานการณ์ความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้แล้ว ผมไม่กล้าพูดว่าผมทราบสถานการณ์นั้นดีหรือไม่ แต่ผมกล้าพูดว่าหากกองทัพไม่เข้ามายุติในสถานการณ์นั้นแล้วจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายของผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การบาดเจ็บล้มตายจะนำมาซึ่งสร้างความทุกข์ของคนในชาติหรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่ตัวบุคคล แต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นต่อพระราชหฤทัยของพระเจ้าแผ่นดิน

ภายหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 แล้ว ผมได้ตัดสินใจลาออก

จากราชการทหารเมื่อ เม.ย.2550 ...ไม่ใช่เพราะผมผิดหวังในชีวิตราชการนะครับ ขณะนั้นผมเพิ่งมีอายุได้ 47 ปีเอง ผมยังมีเวลาอีกมาก แต่ผมตัดสินใจลาออกจากราชการทหาร เพราะผมมาถึงจุดตัดสินใจในชีวิตราชการของผมแล้ว ผมมีเหตุผลหลายประการดังนี้

1) พี่สาวของผม...พี่คนที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บริหารกิจการของครอบครัว และกิจการ รพ.มงกุวัฒนะ ป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าชีวิตคนเรานั้นมันช่างสั้นและผ่านไปอย่างรวดเร็วจนผมเห็นแก่เวลาส่วนตัวของผมแล้ว

2) ผมอยากใช้ชีวิตที่เหลือของผมอย่างเต็มที่กับครอบครัวแล้ว ลูกๆ ของผมกำลังอยู่ในวัยที่ต้องสอบแข่งขันเข้าเรียนต่อในสถาบันการศึกษาซึ่งยากลำบากต่อลูกๆของผมมาก

3) แนวทางการเติบโตของชีวิตราชการทหารของผมเริ่มเข้าสู่จุดตีบตันที่ต้องช่วงชิงกันแล้ว ผมไม่อยากเสียความสัมพันธ์ระหว่างรุ่น ในขณะทีการลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุราชการนั้นก็สามารถทำให้ผมได้เป็นนายพลสมหวังโดยที่ผมไม่ต้องช่วงชิงกับพี่ๆ เพือนๆ และน้องๆแล้ว

ผมบอกกับครอบครัวว่า "ผมถึงจุดที่ผมพอได้แล้ว" ผมเคยพูดกับเพื่อนๆและน้องๆว่า จงอย่าลาออกด้วยความผิดหวังหรือน้อยใจหรือโกรธ ในทางตรงข้ามจงลาออกไปอย่างสุขใจและจากกองทัพด้วยความรู้สึกและสำนึกที่ดีและพร้อมจะรับใช้อีกเมื่อชาติต้องการ วันรุ่งขึ้น ผมเขียนใบลาออกจากราชการทหาร ผมส่งหนังสือลาออกจากราชการทหารในเดือน พ.ค.2550

คำสั่งให้ผมออกจากราชการมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550...วันนั้นผมเดินทางพร้อมภริยาและลูกๆ ไปอยู่ที่บ้านของพ่อแม่ที่ริมมหาสมุทรอินเดียในรัฐออสเตรเลียตะวันตก...ผมมีชีวิตที่เลือกได้

แต่ชีวิตสุขนิยมของผมก็เป็นไปได้ไม่นาน เป็นได้เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 นั้นเป็นได้เพียงแค่การยุติ

สถานการณ์ความขัดแย้งภายในชาติชั่วคราวเท่านั้น การรัฐประหารครั้งนั้นไม่ได้แก้ไขปัญหาหรือนำมาซึ่งความสงบสุขภายในประเทศอย่างแท้จริง ในทางตรงข้ามสถานการณ์ของชาติและราชบัลลังก์กลับถูกบั่นทอนจาบจ้วงมากยิ่งขึ้น มีการให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผย ชั่วช้า สามานย์ สร้างความเข้าใจผิดๆ ต่อประชาชนส่วนหนึ่ง...เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผมจะใช้ชีวิตสุขนิยมตามที่ผมตั้งใจได้อย่างไร

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
18 ก.ย. 59 เวลา 9.10 น.