ไม่ได้ประกัน-นอนคุกสถานเดียว!!"เบญจา หลุยเจริญ" กระอักศาลอุทธรณ์ยืนคุก คดีช่วยโอ๊ค-เอมเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ-ผวาคุกวิ่งประกันตัวให้วุ่น

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th


ไม่ได้ประกัน-นอนคุกสถานเดียว!!"เบญจา หลุยเจริญ" อดีต รมช.คลัง ยุคหญิงปู และพวกกระอัก ศาลอุทธรณ์ยืนคุก คดีช่วยโอ๊ค-เอมเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯ วิ่งขอประกันตัวในชั้นฎีกาให้วุ่น...ถ้าไม่ได้ประกัน-นอนคุกสถานเดียว เพราะ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินตรงกัน บทเรียนข้าราชการรับใช้ลูกหลานนักการเมืองขี้ฉ้อ


วันนี้ (19 ต.ค.) มีรายงานข่าวจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อช่วงสายที่ผ่านมาว่า วันนี้ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อท.43/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร , น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง  , น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต  , นายกริช วิปุลานุสาสน์  ซึ่งเป็นอดีต ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร  กระทรวงการคลัง และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรยานายทักษิณ ชินวัตร  เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

โดยคดีนี้ ป.ป.ช. โจทก์ ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.58  ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า จำเลยที่ 1 - 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย

 

จากกรณีเมื่อปี 2549 นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด คนละ 164,600,000 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นๆละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท การกระทำของพวกจำเลยดังกล่าวนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการได้รับความเสียหาย  จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย

 

จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้คดี โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ก.ค.59 เห็นว่า นางเบญจา อดีต รมช.คลัง  , น.ส.จำรัส , น.ส.โมรีรัตน์  และนายกริช อดีตผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร จำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี

 

ขณะที่ น.ส.ปราณี คนใกล้ชิด เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 จึงให้จำคุก 2 ปี เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยทั้งหมดไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

ต่อมาจำเลยทั้งหมดยื่นอุทธรณ์คดี และได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ หลักทรัพย์คนละ 300,000 บาท โดยไม่กำหนดเงื่อนไขใดๆ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว โดยพิจารณาคำอุทธรณ์ของจำเลยทุกประเด็นทั้งเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์และ ประเด็นว่าการตอบข้อหารือของจำเลยที่ทำหนังสือสอบถามกรมสรรพากร ก่อนทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ กับเหตุผลสมควรลงโทษสถานเบาหรือให้รอการลงโทษจำคุกหรือไม่นั้น

ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ทุกประเด็นในคำอุทธรณ์ของ จำเลยทั้งห้านั้นฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งห้าโดยไม่รอการลงโทษนั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย

ทั้งนี้ตามสภาพความผิดของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำโดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายและความน่าเชื่อถือในการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศชาติพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง จำเลยจะอ้างว่าเรื่องนี้ในที่สุดแล้วก็มิได้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษายึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องไปหมดแล้วและศาลภาษี อากรกลางได้มีคำพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากรไปแล้ว มาเป็นข้ออ้างเพื่อขอให้ศาลอุทธรณ์ รอการลงโทษไม่ได้ อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน และล่าสุดมีรายงานแจ้งว่า จำเลยทั้งหมดกำลังเตรียมยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นฎีกาอย่างรีบด่วน