เถียงคำไม่ตกฟาก-แถมพานายใหญ่ซวยด้วย!ย้อนดู"อ้ายปึ้ง"ประเคนพาสปอร์ต-อ้างทักษิณไม่เป็นภัย โดนอัยการเขี่ย"คนติดคดีก่อการร้าย-ทำได้ไงท่าน รมว."

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

หลังเงียบหายเกือบปี จากการถูก สนช.ถอดถอนกรณีคืนพาสปอร์ตให้ "นายใหญ่" เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2560 ที่ผ่านมา ล่าสุด  "อ้ายปึ้ง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" อดีต รมว.ต่างประเทศยุคยิ่งลักษณ์ ขยับตัวอีกครั้งโดยข่าวว่า เขาได้ให้นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ไปยื่นเรื่องต่อศาลแพ่ง เพื่อฟ้องร้อง สนช. กรณีลงมติถอดถอนเขาจากกรณีดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท และเรียกเงินทุนเลี้ยงชีพสมาชิกรัฐสภาที่เสียสิทธิไปกลับคืนมา

 

อย่างไรก็ตาม การยื่นถอดถอนนายสุรพงษ์ในคราวนั้น นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเจ้าตัวคือนายสุรพงศ์ ไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับผิดจากปมประเคนพาสปอร์ตให้นายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตรเลยสักนิด ตรงกันข้าม เขากลับโต้แย้งทุกฝ่ายที่ทักท้วงเรื่องนี้อย่างเผ็ดร้อน (ตามสไตล์ผู้มีอำนาจ)  โดยเขาเคยระบุด้วยซ้ำว่า ตนเองไม่ผิด เพราะมองว่านายทักษิณไม่มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อประเทศไทย


 

โดยนายสุรพงษ์ตอบโต้ สนช. ช่วงที่เขากำลังจะถูกถอนถอดว่า  ตามระเบียบกระทรวงต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 48 ระบุว่า ปลัดกระทรวงต่างประเทศเป็นผู้มีหน้าที่โดยตรงในการออกหนังสือเดินทาง มิได้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะให้นโยบายเช่นใด แต่ถือเพียงเป็นข้อพิจารณาเพื่อประกอบการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ในการออกหนังสือเดินทางให้ผู้ร้องเท่านั้น
       

"ตามบันทึกความเห็นที่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการออกหนังสือเดินทาง อาทิ ปลัดกระทรวงต่างประเทศ อธิบดีกรมการกงสุล อธิบดีกรมสนธิสัญญา ที่ได้พิจารณาคำร้องขอหนังสือเดินทางของนายทักษิณ ส่งมาให้ตนระบุว่า เหตุผลที่นายกษิต ภิรมย์ ยกเลิกหนังสือเดินทางของนายทักษิณใช้อำนาจตามข้อ 23(7) ระเบียบกระทรวงต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ระบุว่า หากผู้ถือหนังสือเดินทางอยู่ในต่างประเทศอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย ซึ่งเหตุผลดังกล่าวไม่ใช่ข้อวินิจฉัยทางกฎหมาย แต่เป็นข้อวินิจฉัยด้านข้อเท็จจริงและการตัดสินใจด้านนโยบายที่อาจเห็นแตกต่างกันได้ หากผู้วินิจฉัยมีความเห็นเป็นอย่างอื่น ตนจึงแสดงความเห็นโดยบริสุทธิ์ใจว่า การอยู่ต่างประเทศของนายทักษิณไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทย ให้คืนหนังสือเดินทางแก่นายทักษิณ" อดีต รมว.ต่างประเทศ ระบุในคราวนั้น

อย่างที่กล่าวไว้แต่ต้น การเถียงคำไม่ตกฟากของนายสุรพงศ์ไม่ต่างอะไรกับการ "แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ " และกลายเป็น "วัวพันหลักรัดคอตัวเองไป"  เพราะเขาอ้างว่า ปลัดกระทรวงเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการออกหนังสือเดินทาง ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่เมื่อข้อเท็จจริงชี้ชัดว่า เขานั่นแหล่ะเป็นคนสั่งการให้คืนพาสปอร์ตแก่นายทักษิณ เพราะเขาเห็นว่านายทักษิณไม่เป็นภัยต่อประเทศ จึงให้ยกเลิกคำสั่งถอนพาสปอร์ตของนายทักษิณ ซึ่งก็เท่ากับนายสุรพงษ์ยอมรับว่า การคืนพาสปอร์ตให้นายทักษิณ ก็เป็นผลมาจากคำสั่งของเขานั่นเอง และเรื่องนี้รับรู้กันทางพฤตินัย และนิตินัย

 

เพราะในเวลาต่อมา นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องที่นายสุรพงศ์ แก้ตัวแบบน้ำขุ่น ๆ ต่อกรณีนี้ว่า กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ชี้มูลความผิดทางอาญา นายสุรพงษ์  อดีตรมว.ต่างประเทศ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์  กรณีออกหนังสือเดินทางหรือ พาสปอร์ต ให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นั้นถือว่ามีความผิด ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา157 ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะทักษิณ "ถูกออกหมายจับในคดีร่วมแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช. ) ก่อการร้ายและคดีอื่นๆ"  ซึ่งขัดต่อระเบียบข้อบังคับของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) และ (4)

 

ทั้งนี้ รองโฆษกอัยการสูงสุด ยังระบุด้วยว่า เมื่อวันที่ 16 กุมภาฯ 2560 ที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวน มาให้ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด ตามขั้นตอนทางคดีแล้ว ซึ่งนายภาณุพงษ์ โชติสิน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต กำลังทำรายงาน เสนออัยการสูงสุดซึ่งทราบเรื่องเป็นคดีสำคัญแล้ว ขณะเดียวกัน ก็จะได้ตั้ง คณะทำงานพิจารณาสำนวนซึ่งอัยการจะพิจารณาให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วในเวลาตามขั้นตอนต่อไป


คำชี้แจงของอัยการสูงสุดในคราวนั้น...คงไม่ต้องตีความเป็นอื่น เพราะทุกอย่างชัดแจ้งแดงแจ๋  และควรจะย้ำไว้ในที่นี้ด้วยว่า อัยการระบุโต้ง ๆ ว่า..."เพราะทักษิณ ถูกออกหมายจับในคดีร่วมแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช. ) ก่อการร้ายและคดีอื่นๆ"  ซึ่งขัดต่อระเบียบข้อบังคับของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) และ (4)....และนั่นก็ทำให้นายสุรพงศ์ ส่อจะโดนลากเข้าแดนประหาร...มาตรา 157 ที่ข้าราชการกับนักการเมืองกลัวกันนัก


อีกทั้งยังทำให้ "นายใหญ่" ซวยไปด้วย เพราะจะว่าไปแล้วคดีก่อการร้ายที่นายใหญ่โดนอยู่ด้วยนั้น
คนกำลังจะลืม ๆ (คนอาจจะไปจำว่าทักษิณหนีคดีที่ดินรัชดาฯ) เลยถูกตอกย้ำความทรงจำอีกครั้ง...เมื่อ "รองโฆษกอัยการสูงสุด" ออกมาสะกิดแผลเรื่องนี้อีกครั้ง ด้วยระบุชัดว่า "ตัวผู้รับ-ทักษิณนั้นโดนคดีก่อการร้าย" รวมทั้งคดีอื่น ๆ ยาวเป็นหางว่าวอยู่

 

...แต่แปลก...ทั้งที่พฤติการณ์ความผิดของตัวเองแจ่มชัดขนาดนั้น....นายสุรพงศ์กลับยังกล้าส่งตัวแทนไปฟ้อง สนช. ในวันนี้จากการถอดถอนตนอย่างที่กล่าว...แบบนี้หากไม่เรียก...หมูไม่กลัวนำร้อน...ก็คงเป็น...เพราะปี่กลองการเมืองกำลังเริ่มเชิด....และถึงเวลาที่คนนายใหญ่ต้องขยับตามสั่ง...เพื่อก่อกวน คสช. แบบแยกกันเดินรวมกันตี...แล้วก็เป็นได้

 

อ่าน สนุกล่ะ..."กรรม"ที่ก่อไว้จ่อคอหอยแล้ว!! "อัยการ"เชือด"อ้ายปึ้ง" ปมคืนพาสปอร์ตนายใหญ่แล้ว ประพฤติมิชอบ 157 นี่ "นอนคุก" น่ะพี่น้อง