- 21 เม.ย. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
ผวาหนัก-จนต้องขอเลื่อน?! "เสี่ยไก่ ณ บ้านเอื้ออาทร" ผู้อ้างประชาชนทุกคำ ขยาดกรรมเก่าที่ทำเอาไว้ โดยกระทำทุจริตต่อโครงการบ้านเอื้ออาทรในยุคทักษิณ 1 แบบมูมมาม ถึงขั้นต้องขอเลื่อนพบอัยการเพื่อนำตัวส่งฟ้องศาลในวันที่ 20 เม.ย.61 (วานนี้) ออกไปเป็นวันที่ 2 พ.ค. 61 หรือต้นเดือนหน้า คดีนี้นับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะนายวัฒนานั้น...อยู่ในพะยี่ห้อ "หัวหมู่ทะลวงฟัน" ออกมาเปิดศึกกับผู้อยู่ตรงข้าม "ระบอบทักษิณ" แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมมาตลอด ขณะเดียวกันเขาก็ขึ้นแท่น "นักเชลียร์นายใหญ่เบอร์ต้น ๆ" เสมอมาเช่นกัน เหตุนี้...เมื่อนักประชาธิปไตยจอมปลอมอย่างเขาโดนคดีทุจริตเสียเอง....นั่นจึงนับว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เหนืออื่นใดก็คือ คดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และ 149 ตามที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายวัฒนามาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 หรือเกือบ 1 ปีก่อนนั้น หากพบว่าผิดจริง....โทษถึงขั้นประหารทีเดียว
วานนี้มีรายงานข่าวทางการเมืองที่สำคัญอยู่ชิ้น นั่นคือ กรณีที่ "นายวัฒนา เมืองสุข" อดีต ส.ส พรรคเพื่อไทย-คนของนายใหญ่ทักษิณ ขอเลื่อนนัดการเข้าพบพนักงานอัยการในคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร เพื่อนำตัวยื่นฟ้องต่อศาลในคดีดังกล่าว ออกไปเป็นวันที่ 2 พ.ค. 2561 หรือต้นเดือนหน้า
เรื่องนี้มีความน่าสนใจตรงที่ "นายวัฒนา" นั้นนับเป็นตัวละครที่โลดแล่นอยู่ในแถวหน้าของการเมืองฝ่าย "ระบอบทักษิณ" มาโดยตลอด เขาออกหน้าฟาดฟันทุกผู้นามที่เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายตน แล้วจะว่าไปหากไม่นับการต้องการให้ "เข้าตานายใหญ่" จากการเล่นบท "หัวหมู่ทะลวงฟัน" เพื่อหวังเก้าอี้ใหญ่ในพรรคแล้ว...นักวิเคราะห์บางคนฟันธงว่า..."คดีโกงบ้านเอื้ออาทร" ที่กำลังเป็นบ่วงรัดคอเขาทุกขณะนี่แหล่ะ...ที่ผลักดันให้เขากระทำในหลาย ๆ สิ่งที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวแบบหมิ่นเหม่ในยุครัฐบาล คสช.
หากจะทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ช่วงที่นายวัฒนา ดำรงตำแหน่ง รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในสมัยรัฐบาล "นายทักษิณ ชินวัตร" ช่วงปี 2546 จากนั้นเมื่อเกิดการรัฐประหารรัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2549 คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ได้เข้าตรวจสอบโครงการนี้ และพบพฤติกรรมที่ส่อทุจริตหลายประการ ก่อนชี้มูลความผิดนายวัฒนาและผู้เกี่ยวข้อง ก่อนจะส่งไม้ให้ ป.ป.ช. เป็นพิจารณาชี้มูลต่อ
คดีของนายวัฒนาเงียบหายไปนับ 10 ปี หลังจากนอมินีของ "ระบอบทักษิณ" ขึ้นมาครองอำนาจทางการเมือง ผ่านนายสมัคร สุนทรเวช , สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือแม้แต่น้องสาวในใส้อย่าง "หญิงปู" ซึ่งไม่ต้องบอกก็คงเดาได้ว่า อิทธิพลอันแน่นหนาของ "ระบอบทักษิณ" ต่อสังคมไทย ทำให้คดีของนายวัฒนา...เงียบหายไปได้เช่นไร
อย่างไรก็ตาม "คนคงไม่อาจปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ" เรื่องนี้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้งหลังยุค คสช.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดย ป.ป.ช. หยิบเรื่องนี้มาปัดฝุ่น และมีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนากับพวก ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และ 149 ดังกล่าวข้างต้นไปเมื่อช่วงต้น ๆ ปีที่ 2560 หรือกว่า 1 ปีที่ผ่านมา และส่งสำนวนการไต่สวนคดีดังกล่าวให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาลต่อไป
อย่างไรก็ดี หลังเห็นสำนวนจากทาง ป.ป.ช. อัยการกลับมองว่า คดีดังกล่าวยังมีข้อไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะประเด็นข้อกฎหมายที่มีความเห็นไม่ตรงกัน เรื่องนี้นำมาสู่การตั้งคณะกรรมการร่วมพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ระหว่างอัยการและ ป.ป.ช. ขึ้น และพิจารณาร่วมกันเรื่อยมาหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสนุปที่ชัดเจนเสียที จน ป.ป.ช. ต้องออกมาประกาศว่า หากทางอัยการไม่สั่งฟ้อง ทาง ป.ป.ช. จะเรียกสำนวนกลับคืนมา แล้วส่งฟ้องเอง...กระทั่งนำมาสู่การขอเลื่อนนัดของนายวัฒนา วานนี้
ส่วนรายละเอียดการโกงของนักประชาธิไตยแบ่งกันกินอย่างนายวัฒนา และพวกนั้น เอกสารการสอบสวนระบุว่า เขาถูกกล่าวหาว่า เรียกรับเงินจากผู้ประกอบการเอกชนในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยเริ่มจากการที่ "บริษัท พาสทีญ่า" ได้โควตาเป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ 7 โครงการ 7,500 ยูนิต มูลค่า 2,500 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสวนพลูพัฒนา โครงการผดุงพันธ์ โครงการนนทบุรี (วัดกู้ 1) โครงการนนทบุรี (วัดกู้ 3) โครงการสมุทรปราการ (วัดคู่สร้าง 1) โครงการปทุมธานี ลำลูกกา คลอง 2 และโครงการกระทุ่มแบน 3 ทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติในการเข้าเป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ แต่ได้มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้สามารถเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้หรือไม่
โดยการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นหนึ่งในโครงการอื้อฉาวที่สุดโครงการหนึ่งที่ คตส. ตรวจพบ เพราะมีหลายส่วน-หลายพื้นที่โครงการที่ผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง ทั้งกระบวนการจัดหาที่ดินสร้างโครงการที่แพงเกินจริง การจัดซื้อจัดจ้าง การหาผู้รับเหมามาดำเนินโครงการ นอกจากนี้ยังมีการเรียกค่าหัวคิว 82 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายให้กับนักการเมือง และบริษัทดังกล่าวยังเข้าข่ายการฟอกเงิน โดยจำนวนนี้มีการโอนเข้าบัญชีของคนขับรถ แม่บ้าน และพนักงานพิมพ์ดีด ฯลฯ ทุกอย่างล้วนเข้าข่ายทุจริตทั้งสิ้น
โดยผู้สันทัดกรณีทางกฎหมายยืนยันว่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และ 149 ตามที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายวัฒนากับพวกนั้น บัญญัติว่า มาตรา 148 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือประหารชีวิต
ส่วนมาตรา 149 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ในตำแหน่งไม่ว่าการนั้น จะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือประหารชีวิต
...หากพิจารณาจากข้อกฎหมายที่นายวัฒนาถูกแจ้งข้อหานั้น...นับว่าหนักหนาสาหัสเอาการ เพราะหากผิดจริงถึงขั้นประหารชีวิตเป็นบั้นปลาย เหตุนี้เองตัวนายวัฒนาจึงดิ้นรนหลัง หลังทราบมติ ป.ป.ช. โดยเขาออกมาตอบโต้เป็นพัลวันว่า
"คดีนี้เกิดมาตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 ข้อที่น่าสังเกต มีระยะเวลาเนิ่นนาน แต่กลับถูกเร่ง ในช่วงที่รัฐบาลถูกวิจารณ์หนักๆ ตน ไม่ได้โดนคดีนี้เป็นคดีแรก โดนทั้งคดีเรื่องหวย เรื่องรถดับเพลิง มาถึงรัฐบาลนี้ก็โดนทั้ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ล้วนเป็นคดีที่เกิด จากการรัฐประหาร แม้แต่ส่งคนไปชกก็เคยมาแล้ว เรื่องที่ทำให้ตนหยุดวิพากษ์วิจารณ์ได้คือ รัฐบาลทำให้ดี ถ้าทำดี ก็คงวิพากษ์ วิจารณ์ไม่ได้ ผู้มีอำนาจมีวัตถุประสงค์ กดดันเร่งรัดคดีให้ตนเกรงกลัว พร้อมทั้งดิสเครดิต"
นั่นคือ...ถ้อยคำของนายวัฒนา หลังรู้ว่า...ตนเองต้องเผชิญชะตากรรมคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทรอย่างแท้จริงแล้วเมื่อปีก่อน
จากนี้ไปคงต้องรอดูว่าวันที่ 2 พ.ค.ที่เขาขอเลื่อนนัดอัยการไว้นั้น เขาจะโผล่ไปปรากฏตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา และถูกนำตัวส่งฟ้องต่อศาลหรือไม่...เรื่องนี้ห้ามกะพริบตา...เพราะเดิมพันหน้าตักถือว่าสูงมาก