"บ้านเอื้ออาทร"..เอื้ออาทรใคร ปชช.หรือ นกม.ขี้ฉ้อ เพราะโกงถึงขั้นมหากาพย์-ฟาดทุกเม็ด-กินทุกดอก แถมตะแบงว่าข้าบริสุทธิ์

"บ้านเอื้ออาทร"..เอื้ออาทรใคร ปชช.หรือ นกม.ขี้ฉ้อ เพราะโกงถึงขั้นมหากาพย์-ฟาดทุกเม็ด-กินทุกดอก แถมตะแบงว่าบริสุทธิ์

"บ้านเอื้ออาทร"..เอื้ออาทรใคร ปชช.หรือ นกม.ขี้ฉ้อ เพราะโกงถึงขั้นมหากาพย์-ฟาดทุกเม็ด แถมตะแบงว่าข้าบริสุทธิ์ 

 

วานนี้มีข่าวใหญ่ทางการเมืองอยู่ชิ้น นั่นคือข่าวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับฟ้องคดีทุจริต "โครงการบ้านเอื้ออาทร" ของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งเป็นคดีหมายเลขดำ อม.42/2561 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง "นายวัฒนา เมืองสุข" อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยุครัฐบาลทักษิณ และพวกอีก 8 คน โดยหนึ่งในนั้นมี "นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร"  หรือ "เสี่ยเปี๋ยง" นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่ยุคทักษิณเรืองอำนาจ ปัจจุบันติดคุกจากคดียักยอกข้าวในโกดังของรัฐฯ ไปเวียนเทียนขายตั้งแต่ยุคทักษิณรวมอยู่ด้วย (ส่วนคดีทุจริตจำนำข้าวยุคยิ่งลักษณ์ล่าสุดนั้น "เสี่ยเปี๋ยง" โดนตัดสินจำคุกเพิ่มอีก 48 ปี)

 

โดยศาลฯ พิจารณาคำฟ้องแล้วเห็นว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 จึงให้ประทับรับฟ้องไว้พิจารณา เพื่อมีคำพิพากษาต่อไป นอกจากนี้ ยังได้นัดฟังคำสั่งคดี "โกงบ้านเอื้ออาทร" อีกสำนวน ซึ่งเป็นคดีหมายเลขดำ อม.102/2561 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง "นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง" หรือ"กี้ร์" อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย แกนนำแดงสายฮาร์ดคอร์ และพวกอีก 4 คน ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน "นายวัฒนา" ใช้อำนาจมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด แก่ตนเองหรือผู้อื่น และสนับสนุน "นายมานะ วงศ์พิวัฒน์"  อดีต กคช.ซึ่งเป็นจำเลยร่วมกับนายวัฒนา จากคดีแรกเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อให้กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148

 

หากไล่เรียงรายชื่อผู้ถูกกล่าวหาจาก 2 คดีนี้ ไม่ต้องพูดให้มากความ....ก็เห็นได้เองว่าล้วนแต่เป็นคนในเครือข่าย "นายใหญ่" ทั้งสิ้น เฉพาะแค่ "นายวัฒนา" และ "นายอริสมันต์" นั่นก็บอกทุกอย่างโดยตัวเองอยู่แล้ว แต่เหนืออื่นใดก็คือ ในคำฟ้องที่ศาลฯ รับไว้นั้น กลับมีชื่อของ "นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร" หรือ "เสี่ยเปี๋ยง" ตัวละครเก่าตั้งแต่ "ยุคโกงข้าวนายใหญ่ทักษิณ" ระเรื่อยมาถึง "ยุคโกงข้าวหนูปู" พร้อม "บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง" ซึ่งเป็นบริษัทของเขา และบริวารในบริษัทของเขาร่วมทุจริตอยู่ด้วย ทั้ง ๆ ที่ธุรกิจค้าข้าวกับธุรกิจสร้างบ้านขาย...ไลน์ธุรกิจนั้นห่างไกลกันลิบลับ

 

เรื่องนี้ไม่อาจตความเป็นอื่น...แม้เนื้องานขายข้าวกับปลูกบ้านจะอยู่คนละฟากคนละมุมกัน...แต่หากปะติดปะต่อให้ดีจะพบว่า...เรื่องนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่า...ทั้งหมดล้วนเป็นคนของนายใหญ่ แล้ว...โกงได้เอามาแบ่งกัน...ก็แค่นั้น

 

และหากย้อนประวัติกันจริง ๆ จะพบว่า เป็นเพราะความสัมพันธ์เดิมตั้งแต่ยุคทักษิณ 1 ที่ “เสี่ยเปี๋ยง” รู้จักกับ “ทักษิณ” ในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ แล้วอย่าลืมว่า ก่อนหน้าที่นายวัฒนาจะไปคุม พม. เขาเคยดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์...ซึ่งคุมการส่งออกข้าวมาก่อน เมื่อพาณิชย์เจอพ่อค้าข้าวเรื่องที่จ้องจะหาช่องทางทำมาหากินแบบแปลก ๆ ทุกอย่างจึงเค้าเข้า

 

เสี่ยเปี๋ยงเคยให้สัมภาษณ์เองด้วยซ้ำว่า รู้จักทักษิณก่อน จากนั้นทักษิณแนะนำให้รู้จักนายวัฒนา...เพราะคุมกระทรวงพาณิชย์ที่สัมพัธสัมพันธ์กับตน...นั่นยิ่งไม่ต้องอธิบายใด ๆ อีก

 

ต่อมา เมื่อนายวัฒนา มาคุม พม.ซึ่งกำกับนโยบายบ้านเอื้ออาทรในช่วงปี 2546 “เสี่ยเปี๋ยง” อันเปรียบได้กับคนของนายใหญ่ จึงรี่ตามนายวัฒนามายุ่มย่ามในโครงการฯ กระทั่งตกเป็นจำเลยในคดีนี้ไปด้วยกัน...ตามประสาประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ที่อาศัยคูหาเลือกตั้งเป็นฉากบังหน้า เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

 

เพราะเอกสารการสอบสวนคดีนี้ ระบุชัดว่า นายวัฒนาถูกกล่าวหาว่า เรียกรับเงินจากผู้ประกอบการเอกชนในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยเริ่มจากการที่ "บริษัท พาสทีญ่า" ได้โควตาเป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ 7 โครงการ 7,500 ยูนิต มูลค่า 2,500 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการสวนพลูพัฒนา โครงการผดุงพันธ์ โครงการนนทบุรี (วัดกู้ 1) โครงการนนทบุรี (วัดกู้ 3) โครงการสมุทรปราการ (วัดคู่สร้าง 1) โครงการปทุมธานี ลำลูกกา คลอง 2 และโครงการกระทุ่มแบน 3 ทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติในการเข้าเป็นคู่สัญญากับการเคหะแห่งชาติ แต่ได้มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้สามารถเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐได้หรือไม่

 

โดยการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นหนึ่งในโครงการอื้อฉาวที่สุดโครงการหนึ่งที่ คตส. ตรวจพบ เพราะมีหลายส่วน-หลายพื้นที่โครงการที่ผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง ทั้งกระบวนการจัดหาที่ดินสร้างโครงการที่แพงเกินจริง การจัดซื้อจัดจ้าง การหาผู้รับเหมามาดำเนินโครงการ นอกจากนี้ยังมีการเรียกค่าหัวคิว 82 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายให้กับนักการเมือง และบริษัทดังกล่าวยังเข้าข่ายการฟอกเงิน โดยจำนวนนี้มีการโอนเข้าบัญชีของคนขับรถ แม่บ้าน และพนักงานพิมพ์ดีด ฯลฯ ทุกอย่างล้วนเข้าข่ายทุจริตทั้งสิ้น   

 

ขณะที่ตัวนายวัฒนาเอง ก็พยายามต่อสู้คดีนี้ด้วยการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวมาโดยตลอด เรื่องนี้สะท้อนชัดอยู่ในวันที่เขาไปพบอัยการ ก่อนถูกนำตัวส่งฟ้องศาลฯ นักการเมืองในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมาว่า  โครงการบ้านเอื้ออาทรเป็นโครงการที่ขายหมด ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ บ้านที่ประชาชนได้ไปหลังละกว่า 3 แสนบาท ปัจจุบันขึ้นเป็น 7-8 แสนบาทแล้ว ประชาชนมีความต้องการ แต่เป็นเรื่องการเมืองที่ต้องทำลายตน เพื่อรับรองการยึดอำนาจ ฯลฯ


“ในชั้นศาลคงจะแสดงให้เห็นถึงความไม่ปกติของการดำเนินคดีตั้งแต่ในชั้นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก็มีการจูงใจข่มขู่พยาน มันเป็นความไม่ปกติ อย่างที่สองก็คือกระบวนการตั้งข้อกล่าวหาอย่างกระบวนการที่พยายามจะเอาเรา อ้างว่าทำสิ่งนี้ผิด อ้างว่าผมสั่งให้ออกทีโออาร์ที่ผิด แล้วคนที่ทำมันไม่ผิด แล้วผมจะไปผิดได้ยังไง ถ้าสิ่งที่ผมทำผิด คนที่รับไปปฏิบัติก็ต้องผิดด้วยถูกไหม แล้วทำไมทั้งหมดเหลือผมอยู่คนเดียว ปล่อยทุกคนหมด ถ้ามันไม่เป็นเรื่องทางการเมืองแล้วเป็นเรื่องของอะไร ก็แค่นั้นเอง ฯลฯ ” นายวัฒนา อ้าง

 

หากพิจารณาและแกะจากคำพูดนายวัฒนาข้างต้น...จะพบว่า...เขาต้องการลากพาคดีไปในมุมที่ตัวเองต้องการแบบไม่ต้องอำพรางใด ๆ เลย..เพราะนายวัฒนาระบุชัดทุกถ้อยคำว่า  "โครงการบ้านเอื้ออาทรเป็นโครงการที่ขายหมด ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ บ้านที่ประชาชนได้ไปหลังละกว่า 3 แสนบาท ปัจจุบันขึ้นเป็น 7-8 แสนบาทแล้ว ประชาชนมีความต้องการ"

 

นั่นเองเป็นเหตุให้...ผู้รู้หลายคนรู้สึกสมเพชนายวัฒนาขึ้นมาในทันที เพราะยิ่งโบ้ยยิ่งสะท้อนความโป้ปดมดเท็จของเขา...ผู้ที่อ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย...อ้างประชาชนทุกคำ เพราะใครก็รู้ว่า...คดีนี้ อัยการฟ้องเขาในฐานะเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้ผู้อื่นมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง...ไม่ใช่...ก่อสร้างโครงการแล้ว..."ขายไม่ออก" กลายเป็นโครงการที่ "ไม่ก่อให้เกิดรายได้" ดังที่นายวัฒนาต้องการให้เป็น

 

...แต่ไม่ว่า...นายวัฒนาจะจงใจที่จะกล่าวเช่นนี้ หรือพูดไปตามที่ทนายสั่ง (ทั้งที่ตัวเขาเองก็เป็นนักกฎหมายอยู่ด้วย) นั่นก็เปลื้องเปลือยตัวเขาอย่างล่อนจ้อนเช่นกัน...เพราะหากจงใจที่จะกล่าวนั่นย่อมแสดงว่า...เขาจงใจที่จะบิดเบือนคดีให้สาวกแดงที่ยังหนุนหลังเขา...เข้าใจผิดไขว้เขวเกี่ยวกับคดีโกงบ้านเอื้ออาทรจากข้อเท็จจริงไปไกล...ซึ่งปลายทางของเรื่องนี้ก็ย่อมไม่พ้น...หวังผลทางการเมืองแน่...เพราะมันเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเขาเอง

 

ขณะที่หาก....หากพูดไปตามที่ทนายสั่ง...นั่นย่อมหมายถึงความอับปางของชีวิตในเบื้องหน้าแน่...เพราะคำฟ้องของอัยการที่ศาลฯ รับฟ้องวานนี้ก็ปรากฏอยู่ทนโท่...กลับตีความ "สาระสำคัญของคดี" ผิดไปไกลขนาดนั้น...คุกคงรออยู่ไม่ไกล

 

ขณะบางคนไปไกลกว่านั้น...ฟันโชะไปเลยว่า....ที่กล้าพูดแบบนั้น...เพราะที่แท้....นิสัยของนักการเมืองนั้น....ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริง ๆ เพราะพูดได้ทุกเรื่องเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์...และอาจหนักถึงขั้นไม่เชื่อคำพูดตัวเองก็ยังมี...ดีไม่ดีนายวัฒนาอาจอยู่ในข่ายนี้ด้วยซ้ำ แม้จนถึงขณะนี้ตัวเขาจะยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบเท่าที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษา และอาจต้องสู้คดีนี้อีกยาวนานก็ตามที แต่รับรองว่านับจากวันนี้...วันที่ศาลฯ รับฟ้องคดีแล้ว...ชีวิตเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกเลย..เพราะคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และ 149 ที่ศาลฯ รับฟ้องไว้นั้น หากพบว่าผิดจริง....โทษถึงขั้นประหารทีเดียว