"ดร.เวทิน​" ชำแหละ 12ปี รัฐประหาร49 ..12ปี "ทักษิณ" ยังไม่สำนึก !

ทักษิณ(ในวัย​ 70)​ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีไทยคนเดียวที่พ่ายแพ้ทางการเมือง​ และเทียบกันแค่ตัวเลข​ "ไม่มีแผ่นดินอยู่" ​ ทักษิณก็ทำสถิติเกินจอมพล​ ป.​ ไปแล้ว​ แต่​ยังไม่ถึงครึ่งของอาจารย์ปรีดีด้วยซ้ำ

 

สืบเนื่องจากการที่ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาหลบหนี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Thaksin Shinawatra ว่าด้วยเรื่อง “12 ปี จาก 19 กันยายน 2549 ถึง 19 กันยายน 2561”

 

โดยมีเนื้อหาในทำนอง  12ปีที่ผ่านมาประเทศย่ำแย่ ประเทศช้ำพอแล้วหรือยัง รอยยิ้มของไทยที่เรียกว่ายิ้มสยามหายไปไหนหมด  อีกทั้งตอนหนึ่งยังระบุด้วยว่าในโอกาสครบรอบ 12 ปีนี้ ขอเปิดอกว่าตนเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นตนต้องสูญเสียความสุข ความอบอุ่นในครอบครัว ที่พ่อแม่ลูกเราอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่นมาตลอด

 

\"ดร.เวทิน​\" ชำแหละ 12ปี รัฐประหาร49 ..12ปี \"ทักษิณ\" ยังไม่สำนึก !

ขณะเดียวกัน ทางด้านของดร.เวทิน​ ชาติกุล  ได้ออกมาแสดงความคิเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเช่นกันระบุว่า...

 

12​ ปี​ ยังไม่สำนึก

 

ปรีดี​ พนมยงค์​ พ่ายแพ้ทางการเมือง​ กลายเป็น​ "กบฏ" (วังหลวง)​ ต้องหลบหนีออกนอกประเทศตอนอายุ​ 47​ ปี​ และอยู่ต่างประเทศจนเสียชีวิตตอนอายุ​ 83​ ปี

\"ดร.เวทิน​\" ชำแหละ 12ปี รัฐประหาร49 ..12ปี \"ทักษิณ\" ยังไม่สำนึก !

 

จอมพล​ ป.พิบูลสงคราม​ พ่ายแพ้ทางการเมือง​ แม้ไม่ใช่กบฏแต่ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ​ จอมพล​ ป.หลบหนีออกไปตอนอายุ​ 60​ ปี​ และเสียชีวิตที่ญี่ปุ่นตอนอายุ​ 67​ ปี

 

\"ดร.เวทิน​\" ชำแหละ 12ปี รัฐประหาร49 ..12ปี \"ทักษิณ\" ยังไม่สำนึก !

 

เวลาที่อาจารย์ปรีดีเป็นคนไร้แผ่นดินก็ประมาณ​ 36 ปี ส่วนของจอมพล​ ป.นั้น​ก็ประมาณ​ 7​ ปี ...12​ ปีที่ทักษิณ​พ่ายแพ้ทางการเมือง 10​ ปีที่ทักษิณไม่มีแผ่นดินอยู่

 

ทักษิณ(ในวัย​ 70)​ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีไทยคนเดียวที่พ่ายแพ้ทางการเมือง​ และเทียบกันแค่ตัวเลข​ "ไม่มีแผ่นดินอยู่" ​ ทักษิณก็ทำสถิติเกินจอมพล​ ป.​ ไปแล้ว​ แต่​ยังไม่ถึงครึ่งของอาจารย์ปรีดีด้วยซ้ำ

 

\"ดร.เวทิน​\" ชำแหละ 12ปี รัฐประหาร49 ..12ปี \"ทักษิณ\" ยังไม่สำนึก !

 

ถ้าจะเรียกคะแนนสงสารก็ควรต้องโอดครวญ​ บีบน้ำตามากกว่านี้เพราะคนที่ทนและทุกข์กว่าตนยังมีอยู่ แต่ตัวเลขมันก็แค่นั้น​ จะไม่มีแผ่นดินอยู่กี่ปีก็ไม่เท่ากับว่าอยู่อย่างไร​ คิดอย่างไร​ ในช่วงเวลานั้น

 

บทเรียนจากจอมพลป.ในช่วงบั้นปลายชีวิต​ หมดสิ้นอำนาจ​ ตั้งใจอยากบวช(ที่อินเดีย)​...แม้ก่อนจะสูญสิ้นอำนาจ จอมพล.ป เคยขอขมาต่อ​ "ศัตรูทางการเมือง" อย่าง​ ​อาจารย์ปรีดี​ ให้คนเขียนจดหมายไปหาที่อยู่ที่ฝรั่งเศสเพื่อขออโหสิต่อกัน (และขอให้ อ.ปรีดี กลับมาช่วยในการรับมือกับจอมพลสฤษดิ์ซึ่งกำลังก้าวทะยานขึ้นสู่อำนาจในขณะนั้น)​

"สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี" พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะกรรมการสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยยุคนั้นเข้าเฝ้าฯ และทรงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นพระราชทาน และยังพระราชทาน "พระราชบันทึก" อันเป็นประวัติศาสตร์ที่ใครก็บิดเบือนไม่ได้​ โดยระบุว่า

 

\"ดร.เวทิน​\" ชำแหละ 12ปี รัฐประหาร49 ..12ปี \"ทักษิณ\" ยังไม่สำนึก !

 

"จอมพล ป.เคยมาเฝ้า เขาพูดว่า อยากจะล้างบาป เพราะทำกับท่าน (พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗) ไว้มากเหลือเกิน จากนั้นแล้วก็เลยไปสร้างโรงพยาบาลพระปกเกล้าไว้ให้ที่จันทบุรี ดูเหมือนจะสร้างไปทั้งหมด ๕ ล้านบาท"

 

สมเด็จฯ ทรงเล่าและทรงเท้าความย้อนไปก่อนที่จะเสด็จฯ กลับ (จากอังกฤษ) ว่า​ "หลวงประดิษฐ์มนูธรรม พระยามานวราชเสวี เคยไปขอเข้าเฝ้าฯ บอกว่า ข้าพระพุทธเจ้าตอนนั้นยังเด็ก คิดอะไรหัวมันรุนแรงเกินไป ไม่นึกว่าจะลำบากยากเย็นถึงเพียงนี้ ถ้ารู้อย่างนี้ ก็คงไม่ทำ"

 

ส่วนอาจารย์ปรีดี​ พูดไว้ในบั้นปลายชีวิตของท่านว่า​ "... ข้าพเจ้าไม่สนใจที่จะกลับสู่การเมืองอีกหรอก เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าแก่มากแล้ว แต่ข้าพเจ้าตอบท่านได้ถึงความผิดในอดีตของข้าพเจ้า"

 

"ในปี ค.ศ. ๑๙๒๕ เมื่อเราเริ่มจัดตั้งแกนกลางของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง ๒๕ ปี เท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้วและได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี (ของกฏหมายเปรียบเทียบ) ข้าพเจ้าไม่มีความเจนจัด และโดยปราศจากความเจนจัด บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา ข้าพเจ้าไม่ได้นำเอาความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี ในปี ค.ศ. ๑๙๓๒ ข้าพเจ้าอายุ ๓๒ ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ"

 

7​ ปีของความพ่ายแพ้ทางการเมือง​ของจอมพลป.​ ปรากฏ​ ความสำนึกผิด​ อยากขออโหสิ​ต่อฝ่ายตรงข้ามหรือผู้เป็นศัตรูทางการเมืองในบั้นปลายชีวิต

 

36​ ปีของความพ่ายแพ้ทางการเมืองของอาจารย์ปรีดี​ คือ​ การปล่อยวาง(มือ)​ ทบทวนความผิดพลาดของตัวเอง​ ทบทวนความผิดพลาดของคณะราษฏร์(ที่ได้แย่งชิงอำนาจกันเองสร้างความย่อยยับ​ เสียหายทางการเมือง​ภายใต้ป้ายชื่อ​ "ผู้อภิวัฒน์")​

 

ส่วน​ 12​ ปี​ของทักษิณ​ ชินวัตร​ ที่เพลี่ยงพล้ำและพ่ายแพ้ทางการเมือง​  จะมีความสำนึกผิด​ จะมีความอโหสิอย่างจริงใจ​ จะมีการปล่อยวาง​ จะมีการทบทวนความผิดพลาดหรือความเลวร้ายสารพัดในรอบ12ปี​ หรือไม่นั้น​ สิ่งที่ทักษิณเขียนออกมาจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันทั่วนั้นจะบ่งบอกและยังสะท้อนว่าเวลาที่ผ่านไปนั้นทักษิณยังคิดอะไร? อย่างไร? ได้ดีที่สุด