- 27 ก.ย. 2561
FB : DEEPS NEWS
จากกรณีศาลมีคำพิพากษาจำคุก คดีนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ อายุ 50 ปี หรือ ลุงวิศวะ ซึ่งก่อเหตุยิงปืนใส่กลุ่มวัยรุ่นที่เข้าล้อมรถเก๋งและพยายามจะเข้าทำร้าย ทำให้นายนวพล ผึ่งผาย หรือปอน อายุ 17 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดที่บริเวณหน้าที่ตั้งครกใหญ่ สามแยกถนนอ่างศิลา ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรีเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2560 เวลา 19.00 น. โดยตัดสินจำคุก 15 ปี และลดโทษ 1 ใน 3 เหลือ 10 ปี พร้อมชดใช้ค่าเสียหายนั้น
ด้านนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก ทนายคลายทุกข์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอพร้อมข้อความถึงเรื่องดังกล่าวว่า "ศาลจังหวัดชลบุรีจำคุกลุงวิศวะ 10 ปีไม่รอลงอาญากรณียิงวัยรุ่นตาย เป็นอุทาหรณ์สำหรับพวกที่พกปืนใจร้อนและอย่าเชื่อกองเชียร์มากนักยุให้สู้คดี ยิงเขาตายก็ควรที่จะรับสารภาพ ถ้าขืนสู้คดีก็เหมือนกับคดีนี้ครับ เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนพกปืนนะครับ อย่าพกปืนดีที่สุดครับ #ทนายคลายทุกข์"
ทั้งนี้นายเดชา กล่าวว่า คดีนี้ผมเคยให้ความเห็นทางกฎหมายผ่านโซเชียลมาแล้วว่ายังไงก็ไม่รอด ก็เป็นจริงตามนั้น ซึ่งโซเชียลในเวลานั้นต่างยั่วยุให้ลุงวิศวะสู้คดี โดยมีชาวเน็ตบางรายกล่าวว่า ถ้าเป็นตนก็จะยิงเหมือนกัน ลุงวิศวะเมื่อเห็นมีกองเชียร์ทางโซเชียลเยอะก็คิดว่าการกระทำของตัวเองที่ไปยิงคนตาย ตนเองมีสิทธิ์ยิงได้ ผมในฐานะนักกฎหมายในตอนนั้นก็ค้านว่า ตามกฎหมายเมื่อยิงคนตายก็ต้องติดคุกไม่มีกฎหมายที่ไหนหรอกบอกว่ายิงคนไม่ติดคุก เมื่อลุงวิศวะสู้คดีสุดท้ายก็ไปไม่รอดศาลจำคุก 15 ปี ลดโทษเหลือ 10 ปี ชดใช้ค่าสินไหมอีกส่วนหนึ่งประมาณ 300,000 บาท คดีนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้พกปืน ที่ต่อสู้ว่าเป็นการป้องกันตัวยังไงก็ไม่รอด เราไม่ควรสนับสนุนให้มีการใช้อาวุธที่รุนแรง มีปืนอย่าใจร้อน ไม่จำเป็นอย่าพกปืน
ขณะที่มีรายงานอีกด้วยว่า ทนายของนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ ได้ยื่นขอหลักทรัพย์ 670,000 บาท ขอประกันตัวนายสุเทพ ซึ่งศาลพิจารณาแล้วให้ประกันตัว
ด้านศาลจังหวัดชลบุรีได้ อ่านคำพิพากษา ในคดีที่ พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ฟ้อง นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ อาชีพวิศวกร เป็น จำเลยในความผิดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จากกรณี ที่จำเลยก่อเหตุยิงนายนวพล ผึ่งผาย นักเรียนชั้น ม.4 บริเวณแยกครกใหญ่ อำเมืองชลบุรี จนถึงแก่ความตาย เหตุเกิด เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 โดยคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานพกพาอาวุธปืน ส่วนความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา จำเลยต่อสู้อ้างว่าป้องกันตัว
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้พวกของผู้ตายซึ่งเป็นคนขับรถตู้ ได้จอดรถที่หน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางออกรถของจำเลย จนเป็นเหตุให้มีปากเสียทะเลาะวิวาทกัน กระทั่งพวกของผู้ตายขับรถออกไป โดยไม่ได้มีการท้าทาย แต่จำเลยกลับขับรถตาม รถคู่กรณีทั้ง 2 คัน บีบแตรใส่ และปาดหน้าเสมือนเป็นการท้าทาย จนคู่กรณีเกิดบันดาลโทสะ และเข้ามาวิวาทกับจำเลย จากนั้นจำเลยได้ใช้อาวุธปืนซึ่งบรรจุกระสุนไว้ลงไปโต้ตอบกับคู่กรณี แต่เมื่อเห็นทีท่าไม่ดี ประกอบกับถูกผู้ตาย และพวกลงมือทำร้ายร่างกาย จนรู้สึกหวาดกลัวพร้อมกับใช้ปืนยิงเข้าใส่
ศาลเห็นว่า เหตุดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันไม่ขาดตอนในระยะเวลาเพียง 5 นาทีเศษ จากพฤติการณ์เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายสมัครใจวิวาทกัน จำเลยจะอ้างว่าเป็นการยิงเพื่อป้องกันตัวเองไม่ได้ รวมทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกาย มารดา ภรรยา และหลาน ที่มากับจำเลย ดังนั้นจะอ้างว่ายิงเพื่อป้องกันผู้อื่นไม่ได้
ศาลจึงพิพากษา ว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง แต่เนื่องจากไม่ได้มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงโจรผู้ร้าย เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุมตัวเอง และมิได้หลบหนี พร้อมยอมรับกับตำรวจในทันที่ว่าลงมือยิงผู้ตาย นอกจากนี้ ผู้ตายยังมีส่วนร่วมในการกระทำผิด จึงเห็นสมควรลงโทษสถานเบา รวมโทษจำคุก 10 ปี ปรับ 2,000 บาท และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปี
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้คือเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 60 ที่สำนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี นายสุเทพ ได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา คดีใช้อาวุธปืนยิงเด็กนักเรียนชั้น ม.4 เสียชีวิต โดยนายชิงชัย โชติแสง อัยการจังหวัดชลบุรี เผยว่าให้นายสุเทพมารับทราบข้อกล่าวหา โดยถูกข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ 2 ข้อหา” ส่วนข้อหาครอบครองอาวุธปืน ทางอธิบดีอัยการ ภาค 2 ไม่ได้พิจารณาสั่งฟ้อง
ต่อมาทางอัยการจังหวัดชลบุรีก็ได้นำสำนวนพร้อมกับนำนายสุเทพ เดินทางไปที่ศาลจังหวัดชลบุรี เพื่อส่งฟ้อง ขณะที่มีรายงานว่านายสุเทพได้ให้การปฏิเสธในข้อหาฆ่าโดยเจตนา โดยยอมรับในข้อหาพกพาอาวุธปืน ก่อนยื่นเรื่องขอประกันตัวในชั้นศาล โดยใช้หลักทรัพย์ จำนวน 500,000 บาท ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนของการยื่นเรื่องขอประกันตัว
ต่อมาเมื่อเวลา 16.30 น. ศาลจังหวัดชลบุรี พิจารณาให้ประกันตัวนายสุเทพ โดยใช้หลักทรัพย์จำนวน 500,000 บาท ขณะที่เจ้าตัวเผยสั้นๆ ว่า ในช่วงนี้อยู่ในชั้นศาลก็คงพูดอะไรไม่ได้มาก ซึ่งก็ต้องหาหลักฐานมาเพิ่มเติม ต่อไป
ด้าน เรือโทสมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาข้อฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฆ่าและข้อหาพกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะ หรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร แต่สั่งไม่ฟ้องข้อหา มีและครอบครองอาวุธปืน เนื่องจากผู้ต้องหามีใบอนุญาตครอบครองโดยถูกต้องตามกฎหมาย