- 25 พ.ย. 2561
นายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์" บุตรชาย "เสี่ยฮุก" หรือ "นาย บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ที่ต้อง"ติดคุก"เพราะเลือกที่จะยอมก้มหัวรับใช้"ระบอบทักษิณ" ? จะลงสมัครเป็นสมาชิก"พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)"
สืบเนื่องจากเมื่อสองสามวันก่อน "นายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์" บุตรชาย "เสี่ยฮุก" หรือ "นาย บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ที่ต้อง"ติดคุก"เพราะเลือกที่จะยอมก้มหัวรับใช้"ระบอบทักษิณ" ? จะลงสมัครเป็นสมาชิก"พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)" ยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ว่าเขาคิดอย่างไร และเหตุใด ถึงเลือกสมทบพรรคฯนี้...
หากย้อนไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ของปีที่แล้ว (2560) นับเป็นอีกหนึ่งวันประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษา2คดีดัง "ทุจริตจำนำข้าว" คดีแรกเป็น ศาลฯนัดฟังคำพิพากษาคดีดำเลขที่ อม.22/2558 ระหว่างอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายปรากฏว่า"น.ส.ยิ่งลักษณ์" กลับเลือกที่จากทรยศมวลชนคนเสื้อแดง ทิ้งลูกน้อง โดยการทำให้เชื่อว่า"น.ส.ยิ่งลักษณ์"จะสู้คดีต่อ จะไม่หนีไปไหน แต่สุดท้ายกลับเตรียมการวางแผนเป็นอย่างดี ตบตาได้แม้กระทั้งพรรคพวกตัวเอง โดยอ้างว่าเกิดอาการ “น้ำในหูไม่เท่ากัน” จนกลายเป็นคำฮิตติดปาก ในช่วงนั้น..
และคดีที่2 กรณีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ต่อมาเมื่อเวลา15.30.น.ขณะที่ ศาลฯ ได้มีการอ่านคำพิพากษาคดีที่มี "นาย บุญทรง" ประดิษฐ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมพวก ทั้งข้าราชการประจำ นักการเมือง เอกชน ตกเป็นจำเลย ทั้งนี้ ศาลอ่านคพิพากษาจำคุก "นาย บุญทรง" 42 ปี และชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1.6 หมื่นล้านบาทจากนั้นในเวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ได้นำตัว "นาย บุญทรง" ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดย "นาย บุญทรง"มีอาการเครียดจากการประกันตัว และมีโรคประจำตัวอย่าง ภูมิแพ้ และความดันโลหิตสูง
หนึ่งปีเต็ม สำหรับการทนทุกข์อยู่ในเรือนจำ สิ่งที่ทำให้"นายบุญทรง" ต้องไปเช่นนั้น นอกเหนือจากการทรยศ หักหลัง แล้วยังมีความอึดอัดบอกกับ "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" ว่า "กูพูดไม่ได้" ย้อนกลับไปอ่านอย่างละเอียด สำหรับข้อความที่คุย "นายสุรนันท์"โพสต์ถึง"นายบุญทรง" ประเด็นแรกที่อยากให้จับประเด็นคือ"นายสุรนันท์"
บอกว่าวันหนึ่ง"นายสุรนันท์"ในฐานะเลขาธิการนายกรัฐมนตรีก็แวะไปคุยกับ"นายบุญทรง"เจอแฟ้มเต็มโต๊ะก็เลยพลิกดูแล้วถามว่าใครดูให้แต่ละเรื่องน่ากลัว "นายสุรนันท์"กลัวอะไรถึงบอกว่าเรื่องที่น่ากลัว ...หรือ กลัวเพราะมีอะไรซ่อนเร้นไว้มากกว่านี้หรือเปล่า เพราะหากเรื่องปกติธรรมดาบริหารราชการแผ่นดินก็ทำไปไม่เห็นมีอะไร จะต้องกลัวอะไร ขณะที่บุญทรงตอบว่า "กูมีทีม" ซึ่งการที่"นาย บุญทรง" สวนกลับเช่นนี้ แสดงถึง"นายบุญทรง" ครุ่นคิดอยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน คำว่ามีทีมก็คงจะสาวเรื่องตรวจสอบแต่ไม่เพียงเท่านั้น
"นายสุรนันท์" เขียนต่อไปอีกว่า "แต่เวลาคุณยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศบางทีคุยกัน นายสุรนันท์บอกว่าคุณบุญทรงมีแววตาที่มีความกังวล" ...คำถามต่อไปนายบุญทรงกังวล กังวลเรื่องอะไร? "นายสุรนันท์" ก็บอกต่อว่า "ในช่วงวิกฤตมีงานหลายด้านแต่ไม่วายห่วงเพื่อน ส่งเรื่องจากทำเนียบก็เคยเตือนว่าเลือกไปแล้วให้รีบจัดการ เราเป็นเพียงเสมียน ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมด แต่รู้สึกเสมอว่าเพื่อนไม่สบายใจ"
และสำหรับคำว่า “เสมียน” เป็นพนักงานทำเอกสารปกติธรรมดาคนหนึ่ง แต่ขณะนั้น"นายบุญทรง" มีตำแหน่งรัฐมนตรีมีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ในกระทรวงนั้นคนสำคัญใน"พรรคเพื่อไทยเอง" การที่"นายสุรนันท์"ออกมาบอกว่าเพื่อนเขาที่ชื่อ”บุญทรง”ที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์เป็นแค่เสมียน และรู้ได้อีกว่าเพื่อนไม่สบายใจ ก็แสดงว่ามีคนบงการ มีคนที่ใหญ่กว่า "เสมียนบุญทรง" ยังไม่จบสำหรับจดหมายของนายสุรนันท์ต้องถอดให้ละเอียด..
"หลังพายุพัดผ่าน นั่งจิบไวน์คุยกันสองคน ผมถามเล่าให้กูฟังหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไง ผมนับถือน้ำใจมันที่ตอบ "กูพูดไม่ได้" เราร่ำสุราจนดึกแล้วไม่แตะเรื่องนั้นอีกเลย ทางการเมืองบางเรื่องต้องตายไปกับเรา พูดไม่ได้ ผมเข้าใจดีและผมเห็นใจเพื่อน..." ประโยคนี้สำคัญ "เห็นใจเพื่อนที่เข้าไปติดกับเงื่อนไขนั้น ขณะนี้เงื่อนไขดังกล่าวยังคงเป็นปริศนา
กระนี้ "นายสุรนันท์"บอกตัวเองโชคดีที่ไม่ไปติดกับเงื่อนไข แต่นายบุญทรงไม่โชคดีเท่า จึงต้องติดคุก ก็เพราะเรื่องการทุจริตเพราะฉะนั้นในการทุจริตโครงการจำนำข้าวตามศาลพิพากษาคดี"จีทูจี"แสดงว่านายบุญทรงไม่ได้เป็นคนได้ประโยชน์หรืออาจจะได้ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวเพราะเป็นแค่เสมียน เสมียนควรจะได้กินของดี ๆ หรือ? เสมียนคงจะได้ของใหญ่ ๆ หรือ? ก็ต้องมีคนกินอยู่แต่เราไม่รู้ "เจ็บปวดตัวเองถูกใช้ในฐานะเสมียน"
จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวหนึ่งปี หลังจากที่พ่อตนเองติดคุก ทราบว่า วานนี้ (24 พฤศจิกายน) เมื่อเวลา 12 นาฬิกา 40 นาที ที่พรรคพลังประชารัฐ "นายเดชนัฐวิทย์" ได้เดินทางเข้าร่วมสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
ในขณะเดียวกัน "นายเดชนัฐวิทย์" เปิดใจทั้งน้ำตาถึงเหตุผลการลาออกจาก"พรรคเพื่อไทย"ว่า "ก็อย่างที่ทุกคนทราบและเห็นในข่าว ได้ถูกโจมตีเสียๆ หายๆ จากฝั่งทนายของอดีตนายกฯ ซึ่งตนมองว่าบทบาททางการเมืองของพ่อตนได้จบไปตั้งแต่วันที่ศาลตัดสินจำคุก ตลอดระยะเวลาที่ท่านติดคุกไม่เคยมีข่าวว่าท่านออกมาเลย "พอมาถึงเวลาที่ท่านเจ็บป่วยและได้รับการรักษา ก็ดันไปเอาข่าวท่านไปเชื่อมโยงกับคดีต่างๆ นานา ซึ่งส่งผลกระทบต่อท่านที่ต้องรับการรักษาตัว ถึงขั้นมีการพูดว่ามีการดีลวงในหรือเปล่า
ทำให้คนอื่นที่ได้รับข่าวไม่อยากมาช่วย และเป็นการมองว่าป่วยจริงหรือไม่ เพราะเอาไปผูกกับเรื่องการเมืองไปหมด และเมื่อมีความไม่ไว้วางใจเกิดขึ้นภายในพรรคเพื่อไทยเอง เกรงว่าการเดินหน้าในทางการเมืองจะมีปัญหา ตนนั่งคิดอยู่นาน และตัดสินใจว่าถอยออกมาก้าวหนึ่งดีกว่า ที่ตัดสินใจลาออกก็ยังไม่ได้คิดว่าจะเดินข้างหน้าไปทางไหน หรือจะย้ายไปพรรคไหนต่อ จึงไปลาออกเพื่อความสบายใจของตัวเอง ของทางพรรค และของคุณพ่อ ทางพรรคเพื่อไทยจะได้เดินหน้าอย่างเต็มที่ จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
เขาบอกว่า ระหว่างที่ออกมาได้ปรึกษากับคุณพ่อว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิตการเมือง ซึ่งจุดประสงค์ของตนและครอบครัวคือรักษาอาการป่วยของพ่อให้หายดี "การที่คุณพ่อเป็นอยู่ทุกวันนี้ คงไม่ต้องตอบก็คงทราบว่าเป็นเพราะอะไร ทุกวันนี้พอเราต้องการความช่วยเหลือ ดันมาขี่ซ้ำ ผมก็ถามพ่อว่าเราจะเอาอย่างไรกันดี ถ้าอยู่มันโหดร้าย ให้ผมทำการเมืองไหม พ่อให้ที่เหลือจากนี้เป็นการตัดสินใจของผมล้วนๆ ท่านบอกว่าชีวิตการเมืองของท่านจบไปแล้ว ต่อไปให้เป็นเรื่องของลูกตัดสินใจเอง"
ทั้งนี้ "นายเดชณัฐวิทย์" ยังกล่าวอีกว่า "ท่านจึงให้ผู้ใหญ่ที่ท่านนับถือตั้งแต่สมัย"พรรคไทยรักไทย" เช่น "นายสมศักดิ์ เทพสุทิน" และ"นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" อดีต"แกนนำกลุ่มสามมิตร" ให้ตนลองคุยกับผู้ใหญ่สองท่านนี้ก่อนว่าจะเอาอย่างไรต่อ โดยคุยกันเบื้องต้น ซึ่งท่านทั้งสองก็มองเห็นศักยภาพของตน แนวทางในการเมืองของเราสามารถไปด้วยกันได้ จึงตัดสินใจที่จะมาร่วมพรรคนี้ ซึ่งตอนที่ได้ตัดสินใจมาร่วมกับพลังประชารัฐ และคุณพ่อท่านก็เคารพการตัดสินใจของตน"
และเมื่อถามว่า แสดงว่าการตัดสินใจมาอยู่"พรรคพลังประชารัฐ" ซึ่งมีคุณพ่อเป็นเหตุผลสำคัญใช่หรือไม่ "นายเดชณัฐวิทย์" ตอบปฏิเสธว่า "ไม่เกี่ยว เป็นการตัดสินใจของตนเอง เพียงแต่คุณพ่อแนะนำผู้ใหญ่ให้พูดคุย"
เมื่อถามว่า จะไม่กลับไปร่วมงานกับ"พรรคเพื่อไทย"และ"พรรคไทยรักษาชาติ"ใช่ไหม "นายเดชณัฐวิทย์" ตอบว่า "จะบอกว่าไม่กลับไปร่วมงานก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายถ้าลงเลือกตั้งแล้วได้รับเลือกและอยู่สภาเดียวกัน
หากผู้แทนฯ ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนทั้งหมดก็คงไม่ได้ ซึ่งการทำงานในสภาเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน ก็ไม่มีปัญหา และในการเลือกตั้ง ตั้งใจจะลงเขตเดิมที่คุณพ่อเคยลง เพราะมีโอกาสได้พบปะประชาชน และเสียงประชาชนก็สนับสนุนให้เป็นตัวแทนมาสานงานต่อ
ซักว่ามั่นใจหรือไม่จะได้รับเลือก เพราะเปลี่ยนพรรคฯแล้ว "นายเดชณัฐวิทย์" ตอบว่า ยอมรับกระทบกับฐานเสียงอยู่แล้ว ตัวผู้สมัครเปรียบเหมือนกับลาบ แต่ส่วนพรรคฯเปรียบเสมือนภาชนะที่เราไว้รองรับลาบที่เราอยากกิน ถ้าสุดแล้วประชาชนอยากกินลาบ ลาบจะไปอยู่บนจาน ในถ้วยหรือในแก้ว เขาก็ได้กินลาบเหมือนเดิม..."
อย่างไรก็ตาม คำพูดของ"นายบุญทรง" ที่ว่า "กูมีทีม" นี่อาจจะหมายถึง ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คอยชักจูง บงการตนอยู่ หรือจะใช่คนที่คอยตรวจสอบงานเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่? นอกจากนี้คำพูดของนายบุญทรงที่ว่า "กูพูดไม่ได้" พูดไม่ได้เนื่องจากไปติดในเงื่อนไขอะไรหรือเปล่า กระทั่ง "นายสุรนันท์" พูดว่า "นายบุญทรง" โชคไม่ดี จึงต้องติดคุก นั้นแสดงว่า"นายบุญทรง" ไม่ได้เป็นคนได้ประโยชน์หรืออาจจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเพราะเป็นแค่เสมียน
เสมียนควรจะได้กินของดี ๆ หรือ? เสมียนคงจะได้ของใหญ่ ๆ หรือ? ก็ต้องมีคนกินอยู่แต่เราไม่รู้ "เจ็บปวดตัวเองถูกใช้ในฐานะเสมียน" เฉกเช่นเดียวกับคำพูดของ "นายเดชณัฐวิทย์"ทำนองที่ว่า "ตอนพ่ออยู่ในคุก เจ็บป่วยอะไรก็ไม่มีการรักษา" นั่นก็เดาได้ไม่ยากว่า นี่อาจเป็นชะตาของ"นายบุญทรง" หนึงในคนที่ยอมก้มหัวให้ระบอบทักษิณ ที่โดนใช้เป็นเครื่องมือ แต่เมื่อหมดผลประโยชน์แล้วก็เขี่ยทิ้ง หรืออาจจะต้องใช้คำว่า "ตัดหางปล่อยวัดกันเลยทีเดียว"
เฉกเช่นนี้ อาจเป็นเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลเลยก็ว่าได้ ที่ทำให้ "นายเดชณัฐวิทย์" เข้าร่วมหนุนกองทัพกับพรรคพลังประชารัฐ....