- 01 ธ.ค. 2561
เขยิบใกล้เข้ามาอีกนิดกับปลายทางโรดแมปการเลือกตั้ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 ก.พ. 2562 ตามที่ คสช. ได้ลั่นวาจาไว้ก่อนหน้า หลังจากที่สังคมไทยมีอันต้องว่างเว้นการเดินเข้าคูหากากบาทด้วยเหตุจำเป็นบางประการ
เขยิบใกล้เข้ามาอีกนิดกับปลายทางโรดแมปการเลือกตั้ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 ก.พ. 2562 ตามที่ คสช. ได้ลั่นวาจาไว้ก่อนหน้า หลังจากที่สังคมไทยมีอันต้องว่างเว้นการเดินเข้าคูหากากบาทด้วยเหตุจำเป็นบางประการ และภายใต้ความขัดแย้งทางความคิดของหลายฝักฝ่ายที่สั่งสม ส่งผลให้สภาพการเมืองไทยอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงได้แทบตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจึงตกเป็นเป้าสายตาของประชาคมโลก ราวกับจะเป็น "จำเลย" ที่มี "ตำหนิ" จากรอยแผล อันมาจากวิกฤตการณ์การเมืองที่ส่งผลสะท้อนกลับยังภาพลักษณ์ของหนึ่งในประเทศที่เป็นเสมือนฐานที่มั่นของโลกเสรีประชาธิปไตยแห่งดินแดนอุษาคเนย์
และเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏมาตลอด ว่าศักยภาพด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เป็นเพียงรัฐขนาดกลาง มีสถานะเป็นประเทศกำลังพัฒนานั้น ไม่เพียงพอต่อการยืนหยัดท่ามกลาง "สงครามการค้าโลก" ด้วยสภาพการณ์นี้จึงเป็นเสมือนคำเชื้อเชิญ เปิดช่องทางให้เหล่ามหาอำนาจได้เข้ามาตักตวงผลประโยชน์ ด้วยยกคำกล่าวอ้างในทำนองว่า เจริญสัมพันธไมตรีหรือให้ความร่วมมือช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ หรืออาจมีบ้างประปรายที่พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือในรูปแบบของน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า
ทว่าลักษณาการผกผันของการเมืองไทยนั้น กลับทำให้นานาชาติเริ่มตั้งคำถามต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ พร้อมกับลดบทบาทการลงทุนด้วยเกรงว่าหลังจากช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ทิศทางของประเทศไทยจะออกมาอยู่ในรูปแบบใด อย่างไรก็ตามมีข้อมูลที่น่าสนใจเผยว่า การที่รัฐบาลตัดสินใจจัดการเลือกตั้งในช่วงเดือน ก.พ. 2562 นั้น พบว่ามีสัญญาณของนักลงทุนต่างชาติหันกลับมาให้ความสนใจให้ความช่วยเหลือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไทยในอีกทางหนึ่ง
นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจ (จีดีพี) โดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 4.3% ส่วนปีหน้าก็น่าจะขยายตัวได้ดีเช่นกัน ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไปหลายโครงการ อาทิ การขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 การพัฒนาพื้นที่อีอีซี การพัฒนาสนามบิน การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่
การลงทุนนับแสนล้านบาทเพื่อหวังผลระยะยาวของรัฐบาลนั้น เริ่มปรากฏผลลัพธ์ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมเพราะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่จะใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าแผนการทำงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นการก้าวเดินอย่างถูกทาง สะท้อนให้เห็นว่าภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศมาโดยตลอด
แต่สิ่งที่ต้องพึงระวังคือสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าวันนี้ประเทศไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่วันข้างหน้าหากยังคงยืดเยื้อต่อไปย่อมกระทบต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจในประเทศไทยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามทางเอกชนก็ยังให้ความมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยยังคงมั่นคงและจะค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง ส่วนการส่งออกไทยในปีนี้คาดว่าน่าจะขยายตัว 8% ขณะที่ปีหน้าน่าจะขยายตัว 6-8%ทั้งนี้ สงครามการค้าที่เกิดขึ้นขณะนี้อาจจะส่งผลดีต่อไทยที่จะมีการย้ายฐานการผลิตมาที่ไทยเพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคตด้วย
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเศรษฐกิจขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4% เนื่องจากจะได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายของพรรคการเมืองและหัวคะแนน ในการเลือกตั้ง มูลค่า 80,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส. มูลค่า 40,000 ล้านบาท และการเลือกตั้งท้องถิ่นอีก มูลค่า 40,000 ล้านบาท นับเป็นปรากฏการณ์ที่อาจทำให้เศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นกลับมาคึกคักอีกครั้ง
สำหรับการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่ใช้งบประมาณ 3 แสนล้านบาท จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าโลก ได้เป็นอย่างดี รวมถึงผลกระทบที่คาดการณ์ว่าคณะกรรมนโยบายการเงิน หรือ กนง. อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายไตรมาส 2 และในช่วงปลายปี 2561 ที่เป็นช่วงไฮซีซันการท่องเที่ยว พบว่านักท่องเที่ยวชาติอื่นได้กลับมาเที่ยวตามปกติ
คงต้องติดตามกันต่อไปว่าภายหลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จ ทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ อย่างไร