- 22 ก.พ. 2562
"ทักษิณ"เป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข??
ต่อเนื่องจากประเด็นนร้อนทางการเมือง คำชี้แจงของพรรคไทยรักษาชาติ ได้ชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ อีกหนึ่งประเด็นการต่อสู้ในครั้งนี้ที่จะมองข้ามไม่ได้..ซึ่งนั้นก็คือการแก้ข้อกล่าวหา การ“ปฏิปักษ์” ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในคำให้สัมภาษณ์ของ นายสุรชัย ชินชัย ทนายความพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) หลังจากยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาคดียุบพรรคตาม ช่วงหนึ่งระบุว่า..
การเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยแก้ข้อกล่าวหาว่า ความหมายของคำว่าปฏิปักษ์ตามพจนานุกรมให้ความหมายว่าเป็นศัตรู เป็นฝ่ายตรงข้าม น่าจะหมายถึงการนำระบอบคอมมิวนิสต์ มาใช้ปกครองในประเทศไทย หรือการเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113
ประเด็นที่พรรคไทยรักษาชาติยกมาต่อสู้ในครั้งนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ40ปีก่อนหน้านี้ การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ ในประเทศไทย กำลังดุเดือดรุนแรง ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่พอจะฟังได้ แต่มาถึงยุคสมัยนี้กลายเป็นเรื่องนี้ ขบขัน
ในวันนี้ประเทศที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ นั้นก็คือประเทศ จีน หรือชื่ออย่างเป็นทางการ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” เป็นคู่ค้าเบอร์สำคัญที่ขับเคลื่อนประเทศไทย ด้านหนึ่งก็ช่วยให้เศรษกิจเติบโตและเข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก วันนี้ไม่มีการเผยแพร่ระบอบการปกครอง อย่างระบอบคอมมิวนิสต์ ไม่มีการไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศอื่นๆ ให้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงภายใน เช่นในอดีตที่ผ่านมา
ดังนั้นก็ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ในความหมายของ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นั้น มี2องค์ประกอบ มาประกอบกัน องค์ประกอบแรกคือ “ระบอบประชาธิปไตย” และองค์ประกอบที่สอง คือ “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ไม่ใช่เพียง ระบอบคอมมิวนิสต์ที่สาบสูญออกจากสังคมไทยและสังคมโลก เป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันนี้ แต่ระบอบสหพันธรัฐ หรือ ระบอบสาธารณรัฐ ที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เหมือนกัน แต่มี ประธานาธิบดี เป็นประมุขแห่งรัฐมีอำนาจสูงสุดอย่างเต็มที่ คณะรัฐบาลอยู่ใต้อำนาจของประมุขแห่งรัฐ ในรัฐธรรมนูญของบางประเทศ อาจให้มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีควบคู่ไปกับประธานาธิบดีได้ หรือไม่มีนายกรัฐมนตรีก็ได้ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างการปกครองของประเทศนั้นๆ
ก็ถือได้ว่า เป็นปฏิปักษ์กับการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่นกัน
เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ไม่ได้เป็นการกล่าวหาพรรคไทยรักษาชาติ ว่าเกี่ยวข้องหรือคิดแบบนี้ แต่การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์จริงๆ ต่อ ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งไม่ใช่ ระบอบคอมมิวนิสต์ตามคำชี้แจงของพรรคไทยรักษาชาติกล่าวอ้างแต่อย่างใด แต่ชัดเจนที่เป็นระบอบสหพันธรัฐ และระบอบสาธารณรัฐ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา มีอย่างให้เห็น
ทราบหรือไม่ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เครือญาติของกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ ทั้งนายฤภพ ชินวัตร ลูกชายนายพายัพ ชินวัตร หรือ น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ลูกสาวนางเยาวเรศ ชินวัตร คือผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น อยากเป็นประธานาธิบดี ถูกกล่าหาจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เรื่องนี้มีคำพิพากษาของศาลฯชี้ให้เห็นในเชิงประจักษ์
คดีนี้ ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ข้อหาหมิ่นประมาทที่ศาลอาญา สืบเนื่องจากนายสุเทพได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ว่า นายทักษิณ ชินวัตร คิดจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีและยังได้กล่าวอภิปรายในสภาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ว่า “ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า นายทักษิณ ชอบระบอบประธานาธิบดีในจิตใจส่วนลึกของ นายทักษิณ อยากเป็นประธานาธิบดี” จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328
ศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องและได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่22 มิ.ย.2552 เวลา 09.00 น.ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) ทั้งนี้ ศาลได้พิเคราะห์จากพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องสรุปได้ว่า โจทก์เคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2544 ถึง 2549 ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) เห็นว่าโจทก์มีพฤติการณ์เหยียบย่ำ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จึงได้เทศนาสั่งสอนโจทก์เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2548 ว่า อย่าคิดอาจเอื้อมเป็นประธานาธิบดี รายละเอียดปรากฏตามหนังสือฯ เอกสารหมาย ล.4 และในส่วนตัวโจทก์เองก็ได้แสดงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์ คือ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2548 โจทก์ได้พูดกลับกลุ่มบุคคลที่หอประชุมอินดอร์สเตดียมหัวหมาก ด้วยข้อความไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์ ต่อมาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 โจทก์ได้พูดในรายการนายกทักษิณ คุยกับประชาชน ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เรื่องการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของโจทก์ โดยใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์ และเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 โจทก์ได้พูดต่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ว่ามีผู้บารมีเหนือรัฐธรรมนูญมาก่อความวุ่นวายต่อระบอบประชาธิปไตยมากเกินไป จนทำให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การกระทำของโจทก์ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยว่าโจทก์ไม่ปกป้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังปรากฏตามหนังสือพิมพ์เอกสารหมาย ล.26 และ ล.27
เมื่อโจทก์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วได้มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โจทก์ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชาชน ระหว่างสัมมนาที่โรงแรมที่อำเภอเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา โดยโจทก์ยอมรับว่าคนเสื้อแดงเป็นพลังสนับสนุนที่สำคัญของโจทก์ ตามเอกสารหมาย ล.1 การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงทุกครั้งได้นำรูปของโจทก์ขึ้นนำขบวน ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.12, ล.15 โจทก์ยังได้พูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องให้บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และ พรรคเพื่อไทย ขึ้นกล่าวปราศัยบนเวทีของคนเสื้อแดง นอกจากนี้ ร้อยตำรวจโท เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ก็ได้อภิปรายยอมรับต่อที่ประชุมสภา เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ว่า “พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย มีความเชื่อมโยงกันเป็นเนื้อเดียวกัน และพรรคเพื่อไทยก็ได้จัดทำเสื้อแดงเตรียมไว้ให้บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทยเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2551” ตามเอกสารหมาย ล.10, ล.11 และการชุมนุมของคนเสื้อแดงทุกครั้งมักจะพูดพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น การชุมนุมเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2550, วันที่ 10 มิถุนายน 2551, วันที่ 15 สิงหาคม 2251 โดยเฉพาะการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551 กลุ่มคนเสื้อแดงได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ติดไว้ที่ฉากหลังเวที
โดยมีข้อความที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.14 ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2552 มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงหลายครั้งและมีการตั้งโต๊ะเสนอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญาข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปรากฎตามเอกสารหมาย ล.16 ล.21 จากพฤติกรรมของโจทก์เป็นผลให้ พล.ต.อ.วิสิษฐ เดชกุญชร เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ว่าโจทก์หลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.31
นอกจากนี้ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ ก็ยังได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า โจทก์จ้องล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ตามหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 4 เม.ย. 2552 ซึ่งโจทก็น่าจะหยุดการกระทำอันไม่บังควรดังกล่าว แต่โจทก์กลับไม่หยุด และในทางกลับกันโจทก็กลับให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเซี่ยลไทม์ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควรทราบเรื่องแผนการรัฐประหารมาล่วงหน้า” ตามหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 15 พ.ค.2552 โจทก์ยังได้ให้การสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงให้มาชุมนุมกันที่ถนนราชดำเนิน ลานพระบรมรูปทรงม้า จนนำไปสู่การจลาจล ซึ่งชวนให้เห็นว่า เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติโดยประชาชนตามคำชักชวนของโจทก์
ทั้งนี้ เพราะโจทก์กับกลุ่มคนเสื้อแดงย่อมรู้อยู่แล้วว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยรูปแบบอื่นตามที่โจทก์ต้องการไม่อาจทำได้โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 ม.291 วรรค 2 จากพฤติการณ์ของโจทก์และกลุ่มคนเสื้อแดงย่อมบ่งชี้ให้เห็นว่ามีเจตนาที่ส่อไปในทางที่สอดคล้องกับคำเทศนาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโน จำเลยอยู่ในฐานะอันชอบธรรมที่จะแสดงความคิดเห็นได้ ทั้งนี้ เพราะจำเลยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 มาตรา 123 บัญญัติว่าก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะต้องกล่าวปฏิญาณตนในที่ประชุมสภาว่าจะปฏิบัติหน้าด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ และตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 มาตรา 175 บัญญัติว่า ก่อนเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระมหากษัตริย์ว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เครารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ซึ่งจำเลยและประชาชนผู้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะปกป้องพระมหากษัตริย์ให้ผู้ใดล่วงละเมิด
นอกจากนี้ การที่จำเลยพูดให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 3 ก.พ.2552 ว่า โจทก์คิดจะกลับมาเป็นประธานาธิบดี นั้นสืบเนื่องจากกรณีที่ โจทก์ได้พูดคุยกับผู้ร่วมสัมมนาว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นเสือหิวเสือโหย ดังนั้น ตามที่จำเลยวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของโจทก์ แล้วสรุปว่าวันหนึ่งโจทก์จะกลับมาเป็นประธานาธิบดี จึงน่าเชื่อว่าจำเลยกล่าวไปโดยมีเจตนาว่ากล่าวตักเตือนโจทก์และคนเสื้อแดงมิให้กระทำการล่วงละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ จากสถานะของจำเลยจึงอยู่ในฐานะและมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะแสดงความคิดเห็นหรือข้อความนั้นได้ การกระทำของจำเลยซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับตนตามครองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (1) การกระทำของจำเลย จึงไม่มีมูลความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- พูดได้..แต่ทำไม่ได้! ขรก.คลัง เผย นโยบายอนค.เพ้อฝัน ชี้ "ธนาธร" อันตรายกว่า "ทักษิณ"
- ใครกันแน่ เป็นปฏิปักษ์การปกครอง.."บิ๊กตู่-ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ" ?
- "สนธิญาณ"ฟันธง!! "ทักษิณ"หลอก "หญิงหน่อย"เพื่อไทยหลอกประชาชน...คนไทยเชื่อไหม ?