- 17 มี.ค. 2562
บทความพิเศษวิเคราะห์ การสำรวจจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก หรือ First Time Voter ต่อ พรรคอนาคตใหม่ โดย ดร.เวทิน ชาติกุล
บทความพิเศษ 'ดร.เวทิน ชาติกุล' - การสำรวจจำนวนประชากรครั้งล่าสุด เดือนธันวาคม 2560 พบว่าประชากรทั้งประเทศมีทั้งหมด 66,188,503 คน เป็นผู้ชาย 32,464,906 คน ผู้หญิง 33,723,597 คน นับตั้งแต่อายุครบ 18 ปีขึ้นไปมีประมาณ 51,735,326 คน ตรงนี้คือ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งใน 51 ล้านคนนี้ มีกลุ่มผู้มีอายุระหว่าง 18-26 ปีประมาณ 8,335,242 คน
จากสถิติการเกิดของประชากรในปี 2536 (ซึ่งจะมีอายุ 18 ปีในปี 2554 และสามารถเลือกตั้งครั้งแรกในปีนั้น) ซึ่งมี 983,000 คนโดยประมาณ ก็จะได้ ผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกในปี 2562 นี้ประมาณ 7,352,000 คน ซึ่งก็คือ จำนวน First Time Voter ในครั้งนี้
ถ้าจะประมาณจากเปอร์เซ็นเฉลี่ยของผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ์ในปี 2554 คือ 75 เปอร์เซ็นต์ ตีคลุมๆก็จะได้ First Time Voter ที่ออกมาใช้สิทธิ์ประมาณ 5,514, 000 คน (จากผู้ออกมาใช้สิทธิ์ทั้งหมดที่ 75% คือ 38,790,000 คน) คือ จะมีคะแนน First Time Voter ประมาณ 14% ของคะแนนทั้งหมด
ถ้าประมาณเป็นจำนวน ส.ส.พึงได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ 5,514,000/77580 คน จะเท่ากับ ส.ส. 71 คน จาก 500 คน พูดง่ายๆ ส.ส.พึงได้ที่มาจากคะแนน First Time Voter มีจำนวน 71 คน ดูจาก สังศิตโพลล์ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากที่สุดคือ 350 เขต เขตละ 400 คน ได้คะแนนรวมของพรรคอนาคตใหม่ 2,920,000 เสียง
สมมุติตีเสียว่าคะแนนทั้งหมดนี้มาจากคะแนน First Time Voter ที่เป็นฐานเสียงหลักของพรรคเป็น "Blue Ocean" (ตลาดทะเลสีคราม) ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของพรรค พรรคอนาคตใหม่ก็จะได้คะแนนเสียงของ First Time Voter ไปประมาณ 52% ที่เหลือก็คงแบ่งๆกันไประหว่าง New Dem ของประชาธิปัตย์, คนรุ่นใหม่ของพรรคพลังประชารัฐ และ คนรุ่นใหม่ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่ก็มีฐานคะแนนคนรุ่นใหม่ของตัวเองอยู่เหมือนกัน
ซึ่ง 2.920,000 คะแนนที่ว่านี้ จะทำให้พรรคอนาคตใหม่ ได้ ส.ส.พึงได้ประมาณ 37 คน และถ้าพรรคอนาคตใหม่แพ้ในทุกเขต (คือไม่ได้ ส.ส.เขตเลย) ก็จะได้ ส.ส.ปาร์ตีลีสต์ 37 คน คุณธนาธร(1) คุณปิยะบุตร(2) พล.ท พงศกร(6) คุณพรรณนิการ์(7) คุณรังสิมันต์(16) จะ "สอบได้" หมด (ส่วนใครมีคดีจะโดนสอยอะไรกันภายหลังนั่นอีกเรื่องหนึ่ง) ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้วสำหรับพรรคที่เพิ่งลงเลือกตั้ง และมีความคิดที่น่าจะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในอนาคตหลังจากได้เข้าสภาฯมาแล้ว
ซึ่งจากข้างบนนี้ เป็นความเป็นจริงของชีวิต ว่าคะแนนของ First Time Voter นั้นมีขอบเขตและขอบข่ายแค่ไหนเอาแบบที่ไม่ต้องมโน เป็นความเป็นจริงที่หลีกหนีไม่ได้ ไม่ใช่ปั่นกระแสกันเกินเหตุจนไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดูความเป็นจริง
เต็มที่ First Time Voter ก็ช่วยพรรคอนาคตใหม่ ได้แค่ 37 เสียง (หรือเทแบบหมดหน้าตักก็จะได้ 71เสียง(ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว)) ไอ้ที่คิดว่าจะมี "สึนามิ" ทางการเมืองขนาดที่ "ที่ปรึกษา" รุ่นใหญ่ของพล.อ.ประวิตรคนหนึ่งเอามาตีโพยตีพาย ก็ยากแสนยากถ้าจะหวังเฉพาะลำพังคะแนนของ "ฟ้ารักพ่อ"
ไม่ได้บอกว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ "สึนามิ" จะเป็นไปได้ก็ต้องไปแบ่งมาจาก Voter กลุ่มอื่นที่เป็น Many Time Voter เช่นกลุ่มหลักที่มีอายุ 36-50 ปี มีประมาณ 15,590,716 คน, อายุระหว่าง 51-65 ปี มีประมาณ 12,459,866 คน และ อายุ 66 ปีขึ้นไป มีประมาณ 6,956,569 คน เป็นต้น
ซึ่ง Voter กลุ่มนี้ถือว่าเป็น "Red Ocean" (ทะเลสีเลือด) ที่แข่งกันดุเดือดสำหรับพรรคอื่นๆ ซึ่งนอกจากจะมีคะแนนคนแก่กระเซ็นกระสายมาแบบ "ส.ศิวลักษณ์" บ้างก็ยังไม่เห็นว่าพรรคอนาคตใหม่จะไปแย่งคะแนนตรงนี้มาได้อย่างไร ยกเว้นบางพรรคที่ถูกยุบไปแล้วประกาศจะยกให้จนกลายเป็นเรื่องฟ้องร้องอีรุงตุงนังกันอยู่ นั่นไม่นับกมลสันดานของนักเลือกตั้งอาชีพที่เจนสนามที่ต้องเหนียวคะแนนตัวเองแบบสุดๆ
และที่สำคัญ คนที่อายุ 36 ปีขึ้นไป ตอนปี 2553 ย่อมมีอายุและวุฒิภาวะระดับหนึ่งกับเหตุการณ์การจลาจล "เผาบ้านเผาเมือง" ในกรุงเทพ ซึ่งไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่มีทางเลือกพรรคอนาคตใหม่ แต่เขามี "ประสบการณ์" ทางการเมือง และวิจารณญาณในระดับหนึ่งกับแคมเปญหาคะแนนเสียงที่เจาะกลุ่ม First Time Voter ของพรรค
เทียบกับ First Time Voter ที่อายุน้อยที่สุดคือ 18 ปีในปี 2553 ที่มีเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในกรุงเทพฯ มีอายุประมาณ 9 ขวบ และมีอายุ 3 ขวบตอนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเริ่มออกมาชุมนุมประท้วง และมีอายุ 5 ขวบตอนรัฐบาลทักษิณถูกปฏิวัติครั้งแรกในปี 2549 อันเป็นจุดเริ่มแห่งความวุ่นวายมาตลอด 13 ปีที่ผ่านมา