เพื่อชาติโหนพาทักษิณกลับ! แค่มวยรองหวังเก็บคะแนนแต่ข้างในพรรคแตก(คอ)ยับ?

เพื่อชาติแถลงโหนพาทักษิณกลับ! แค่มวยรองเก็บคะแนนเพื่อไทย-ไทยรักษาชาติ แต่ข้างในพรรคแตกกันยับ?

สร้างปรากฏการณ์ที่เป็นประวัติศาสตร์กันเลยทีเดียวสำหรับการใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าของประชาชนชาวไทย นี่เองที่ทำให้เซียนการเมือง คอกาแฟทั้งหลายต่างพากันฟันธงตรงกันว่า การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่24มีนาคมนี้นั้น จะมีผู้ใช้สิทธิ์มากเป็นประวัติการณ์ราว85-90% ซึ่งนั่นทำให้บรรดาพรรคการเมืองต่างงัดเอากลยุทธ์ ไม้เด็ด ไม้ตายสารพัดออกมาหวังกอบโกยคะแนนให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อไม่กี่วันก่อนพรรคเพื่อชาติ หนึ่งในพรรคตระกูลเพื่อก็ออกมาประกาศจะพานายทักษิณ กลับบ้าน เช่นนี้จึงถูกตั้งข้อสงสัยว่า การออกมาห้วงยามนี้ของแกนนำพรรคต้องการสิ่งใดนอกจากคะแนนเสียงที่ตกหล่นจากพรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติ เพราะก่อนหน้านี้ภายในพรรคก็มีข่าวแกนนำแตกคอกันยับ ในเรื่องของการลงปาร์ตี้ลิสต์ เรื่องจึงมีความน่าสนใจในจังหวะก้าวของเพื่อชาติ ที่ตอนนี้บอกตรงๆว่า เป็นแค่มวยรองเท่านั้น???

 

ลองย้อนมาพิจารณาคำแถลงเมื่อวันที่ 15 มีนาคม โดยนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ พร้อมนางลลิตา ฤกษ์สำราญ รองหัวหน้าพรรค และนายยงยุทธ ติยะไพรัช ร่วมแถลงนโยบายโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง โดยชูนโยบายพาอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน เนื่องจากเล็งเห็นถึงคุณค่าในความเป็นคนไทย อีกทั้งยังเป็นสินทรัพย์ของประเทศ จึงเห็นควรต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านที่เป็นความรู้ความสามารถ ส่วนทางคดีก็ควรจะมีกระบวนสืบสวนสอบสวน ต้องเป็นบุคคลที่เป็นกลาง ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ต้องมีความเป็นธรรมและยุติธรรม เป็นที่ประจักษ์ยอมรับทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นที่มาของนโยบายพรรคด้านความยุติธรรมที่จะต้องปฏิบัติ และส่งเสริมให้เป็นไปตามหลักสากล อารยประเทศยอมรับ เพราะหากไม่เป็นสากล ไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่มีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน

 

 

 

นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อชาติ

 

ขณะที่นายยงยุทธ กล่าวว่า การพาทักษิณกลับประเทศจะเป็นกรณีตัวอย่างให้ต่างชาติเห็นว่า กระบวนการยุติธรรมเป็นสากล การเอานายทักษิณกลับมาถือเป็นการนำคนที่มีประสบการณ์ ความรู้ ต่างชาติให้ความเชื่อถือ มาช่วยเหลือประเทศชาติซึ่งไม่จำเป็นต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรี มาอยู่แบบคนธรรมดา อยู่กับครอบครัวแบบปกติ หากทำสำเร็จจะทำให้สภาพประเทศไม่มีความแตกแยก ขณะเดียวกันทำให้กลุ่มคนที่สนับสนุนอดีตนายกฯทักษิณมีความเช้าใจ

 

“ขณะนี้สภาพภายในประเทศง่อยเปลี้ยเพราะมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ผมในฐานะกองเชียร์เห็นความตั้งใจของพรรคเพื่อชาติจึงเห็นว่า อดีตนายกฯทักษิณ ควรกลับมาต่อสู้คดีและพูดคุยกันด้วยความเป็นธรรม อย่าสร้างบรรยากาศแบบสงครามเย็น ซึ่งไม่เป็นผลดีกับประเทศ ผมไปพบประชาชนในพื้นที่ทั่วประเทศ ทุกคนก็เห็นด้วยกับประเด็นนี้ ถ้าทำสำเร็จความบาดหมางในชาติก็จะหายไป อย่างสร้างผีทักษิณให้เกิดขึ้นอีก คุยกันได้แล้ว ”นายยงยุทธ กล่าว

 

นั่นคือสิ่งที่แกนนำพรรคเพื่อชาติ รวมทั้งนายยงยุทธ์ ได้ออกมาพูดเอาไว้ กล่าวงง่ายๆก็คือการหาเสียง หาคะแนนให้พรรคนั่นแหละ ก่อนหน้านี้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์สื่อไว้ ในการจะพานายทักษิณ กลับมาสู่กระบวนการยุติธรรม คล้ายๆเหตุผลเดียวกันคือ คืนความธรรมด้วยระบบการสอบสวนที่เป็นธรรมยอมรับได้  แต่ทั้งนายธนาธรและพรรคเพื่อชาติคงลืมไปเสียสนิทว่า คดีความต่างๆของอดีตนายกรัฐมนตรี ล้วนแล้วแต่ถูกแจ้งข้อหา มีการชี้แจง มีการนำสืบพยานหลักฐานในชั้นศาลแล้วทั้งสิ้น  ที่สำคัญฝ่ายนายทักษิณก็ใช้ทนายในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ในขณะฝ่ายกระบวนการยุติธรรมของไทย ก็มีการดำเนินไปด้วยขั้นตอนการพิจารณาที่ตั้งอยู่บนหลักสากล ทั้งในเรื่องความเที่ยงธรรม มาตรฐานนี้ได้รับการยอมรับทั่วไป มีแต่ฝ่ายผู้ที่สูญเสียประโยชน์จากคำตัดสินเท่านั้นที่กล่าวหาว่า ไม่ได้รับความยุติธรรม

 

เพื่อชาติโหนพาทักษิณกลับ!

 

ทั้งนี้ต้องเน้นย้ำว่า ทุกคดีความของนายทักษิณ ล้วนดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ปกติ มีความเป็นกลางอย่างยิ่ง ทั้งในขั้นตอนของการคัดเลือกองค์คณะผู้พิพากษาที่ต้องใช้ที่ประชุมใหญ่ของศาลในการคัดเลือกตัว ตุลาการ ผู้พิพากษามาทำหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องใช้องค์คณะผู้พิพากษาที่เปี่ยมด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิสูงยิ่งต้องผ่านการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ เช่นนี้จะมากล่าวอ้างได้อย่างไรว่า ศาลไม่มีความเป็นกลาง ไม่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย นั่นเพราะตนเองไม่ได้ผลประโยชน์จากคำตัดสินใช่หรือไม่???

 

การจะพานายทักษิณกลับมาโดยไม่มีความผิดย่อมเป็นไปไม่ได้ ถามว่าแล้วจะใช้วิธีไหนที่กลับมาแล้วจะไม่ติดคุกติดตะราง ก็ต้องด้วยกรรมวิธีนิรโทษกรรมนั่นแหละ ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการออกกฎหมายนิรโทษฯ คำถามก็คือ แล้วพรรคเพื่อชาติจะใช้พลังอำนาจอะไรในการจะผลักดันเรื่องดังกล่าวนี้ คำตอบก็คือ ก็ต้องได้เป็นรัฐบาลถึงจะมีสิทธิ์ มีอำนาจ กระนั้นคำถามสำคัญก็คือ ลำพังพรรคเพื่อชาติจะสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้หรือ พรรคได้รับความนิยมมากมายเพียงนั้นหรือ??? ซึ่งนี่ไม่ใช่คำพูดดูถูกดูแคลนแต่อย่างใด เพราะตัวแกนนำทั้งหลายในพรรคต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แม้การทำป้ายหาเสียงก็ยังลำบากขาดแคลนงบอย่างที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ เคยพูดไว้เอง พูดไว้อย่างไรลองไปฟังกันดู

 

2 มี.ค.2562 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อชาติ ว่า ทุกพรรคมีปัญหาหมดในเรื่องบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ก็มีลาออก อย่างที่บอกว่าพรรคเพื่อชาติอยู่ในสถานะเหมือนพรรคกระยาจก ไม่มีเงิน ยากลำบาก ช่วยผู้สมัคร ก็ทุกขเวทนา 50,000-70,000 ถึงแสนนึง เพราะฉะนั้นปัญหาต่างๆ พอเดินมาถึงจุดนี้ ตนไม่มีความรู้สึก เพราะเราอยู่ในภาคประชาชนมายาวนาน มีเงินไม่มีเงินสำหรับตนไม่มีความหมาย แต่ว่าผู้สมัครหลายๆส่วนก็เหนื่อยยาก แค่ป้ายยังติดไม่ครบทั้งประเทศ พรรคอื่น ๆ ยังมีปัญญาติดป้ายทั้งประเทศ ก็รู้ว่าผู้สมัครก็มีความอึดอัดกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นการมีความเห็นแตกต่างกันในพรรคการเมืองเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

 

“กรณี พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ก็เช่นกัน ตนบอกแล้ว เดินแล้วอย่าหยุดนะ ไปพิสูจน์กัน ถ้าผิดไปตามข้อกล่าวหา ก็ยุบพรรค หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค ก็ถูกดำเนินคดีอาญา รวมกระทั่ง พ.ต.ท.สมชายด้วย ในฐานะรองหัวหน้าพรรค เรื่องซื้อขายลำดับบัญชีรายชื่อ ลองดูว่าพรรคขนาดนี้จะได้กี่ตำแหน่งเชียว แค่กรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค ก็เต็มแล้ว

 

ในโลกแห่งความเป็นจริง ตนเองก็เห็นว่า ณ วันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฝ่ายประชาธิปไตยอย่างพรรคเพื่อชาติ เป็นตระกูลเพื่อที่ไม่มีเงิน เป็นตระกูลเพื่อที่อยู่ในซีกของพรรคกระยาจก กระจอกงอกง่อยที่สุด ไม่มีปัญญาแม้กระทั่งติดป้ายได้ทั้งประเทศ จะมีอะไรกระจอกได้เท่านี้อีกแล้ว แต่ว่าหัวใจที่มันเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ ตนก็บอกกับบรรดาพรรคพวกว่า เราก็เอาตัวเข้าแลก คือการเดินไปพบประชาชน ป้ายก็ไม่มีความหมายถ้าประชาชนเอาเราไปไว้ในหัวใจซะแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเดินกันไปแบบนี้ เหนื่อยมากหน่อยแต่ว่าสู้กันตามสภาพ” นายจตุพร กล่าว

 

นายจตุพร พรหมพันธุ์

 

เห็นแล้วหรือไม่ว่า เกิดอะไรขึ้นภายในพรรคเพื่อชาติ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในการแย่งกันลงบัญชีรายชื่อผู้สมัครส.ส. จนเป็นเรื่องเป็นราวฉาวโฉ่กันออกมา เพราะเป็นไปได้หรือไม่ว่า คนในพรรคต่างก็รู้กันดีว่า โอกาสในการลงแบบส.ส.เขตย่อมยากที่จะได้รับเลือกให้เข้าไปนั่งในสภาฯ และไม่เพียงมีร่องรอยความแตกร้าวระหว่างนายจตุพรกับพ.ต.ท.สมชายเท่านั้น แต่ข่าวลือหนาหูที่หลุดลอดออกมายังพาดพิงไปถึงนายยงยุทธด้วย ว่ามีอาการกินแหนงแคลงใจกับนายจตุพร ลองย้อนกลับไปดูในการแถลงจะพานายทักษิณกลับ ไม่มีแม้เพียงเงาของนายจตุพร ในการนั่งโต๊ะร่วมแถลง

 

อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่สาระหลักหากจะมีหรือไม่มีนายจตุพรนั่งอยู่ด้วย เพราะประเด็นสำคัญที่อยากชี้ให้เห็นก็คือ การออกมาครั้งนี้ของแกนนำพรรคเพื่อชาติ เพียงเพื่อต้องการคะแนนจากพรรคเพื่อไทยในบางเขตที่ไม่ได้ส่งผู้สมัครหรือไม่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยรักษาชาติถูกยุบไป ทำให้พรรคเพื่อชาติหวังจะไปเก็บคะแนนในส่วนนั้นใช่หรือไม่ ด้วยการประกาศพานายใหญ่กลับมา  วาดเป้าประสงค์ไว้ที่ความนิยมในตัวอดีตนายกฯ เก็บกวาดคะแนนในส่วนนั้นสำหรับระบบเขต เพราะรู้ตัวดีว่าเป็นแค่มวยรองมาตั้งแต่ต้น???

 

เพื่อชาติโหนพาทักษิณกลับ

 


อ่านข่า่วที่เกี่ยวข้อง    
-"จตุพร" สวมคราบ "ประธาน นปช." ไม่ใช่ "พรรคเพื่อชาติ" ระดมคนเสื้อแดงสู้เผด็จการ อ้าง สานต่อภารกิจปชต.?
-ชักแม่น้ำทั้งห้า? "จตุพร" โร่แถลง เหตุผู้สมัคร ส.ส. "พรรคเพื่อชาติ" แจ้นเปลี่ยนชื่อตามนายใหญ่ หวังคะแนนเสียง!
-ประกาศๆ! ณัฐวุฒิไม่ไปพรรคเพื่อชาติ ใครจะไปก็แล้วแต่ หลังจากนี้ให้ปชช.ตัดสินใจ

-ถนัดแต่ปลุกระดม..อ้างแต่ประชาธิปไตย ! "จตุพร" หว่านล้อมคนเสื้อแดงเข้าคูหาจัดเผด็จการ