- 17 พ.ค. 2562
"ธนาธร" วาดฝันดึง "ภูมิใจไทย" ร่วมรัฐบาล ดันตัวเองเป็นนายกฯ ชำแหละอุดมการณ์ความต่าง "อนุทิน-ธนาธร" ถนนสายนี้ ร่วมทางกัน(ไม่)ได้??
ยิ่งสถานการณ์การเมืองเข้าด้ายเข้าเข็มมากขึ้นเท่าใด ก็ดูเหมือนว่าแหที่พันร่างนายธนาธร จึงรุงเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น เมื่อปรากฏว่ามรสุมทางการเมืองที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน อาจทำให้วิมานที่ตนก่อร่างสร้างไว้ไว้ในมโนคติ จวนเจียนจะสูญสลายกลายเป็นอากาศธาตุ เข้าทุกขณะ
หากทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดจากผลกรรมที่ตนได้กระทำทั้งสิ้น แต่ที่เห็นได้ชัดคืออาการแบ่งรับแบ่งสู้ด้วยวิธีการโยงประเด็นให้ซ้อนทับกับสถานะทางการเมืองของตนหวังเรียกร้องความชอบธรรมจากเหล่าผู้สนับสนุนในทุกวิถีทาง ล่าสุดมรสุมลูกใหม่ได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง จาก กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพส.ส.ของนายธนาธรสิ้นสุดลง เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน
ท่ามกลางการลุ้นระทึกว่าอนาคตทางการเมืองของนายธนาธร ที่ก่อนหน้าได้แผ่ซ่านความหวังอาบชะโลมใจผู้สนับสนุน จะต้องถูกปลาสนาการให้สิ้นหรือไม่ เช่นเดียวกับหลายครั้งก่อนหน้าที่นายธนาธรยังคงยืนกราน และไม่แสดงอาการวิตกแต่อย่างใด ทั้งยังพาดพิงยัง คสช.ว่า "ตนมองว่านี่คือความพยายามเฮือกสุดท้ายของคสช.ที่จะสกัดกั้นพรรคอนาคตใหม่ โดยคาดหวังว่า ถ้าจัดการกับแกนนำพรรคได้แล้ว จะจัดการกับพรรคได้ อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจในพยานหลักฐานเอกสารของพวกเรา ว่าไม่มีอะไรมาเอาผิดได้"
ไม่เพียงเท่านั้นนายธนาธรกลับทำประหนึ่งแทงสวนด้วยการเข้าชิงพื้นที่สื่อทันควัน เมื่อปรากฏว่าในวันเดียวกันนั้น นายธนาธร ประกาศกร้าวว่าพร้อมนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อยุติการเมืองคลุมเครือ และเตรียมเจรจากับพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจ ด้วยตนเอง
ดังที่เคยประพฤติปฏิบัติตลอดดมา เพราะปรากฏว่านายธนาธร ได้หยิบยกวาทกรรมสืบทอดอำนาจของ คสช. มากล่าวถึงอีกครั้งด้วยระบุว่า เหตุที่สนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งการหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของ คสช. ภายใต้ความคลุมเคลือ ผู้ที่ได้รับประโยชน์คือพรรคพลังประชารัฐ จึงอาสามาเป็นนายกรัฐมนตรีเอง
ดุจเดียวกับการชักแม่น้ำทั้งห้ามาสร้างน้ำหนักให้เหตุผลของตนเองมีความน่าเชื่อถือ เพราะคำพูดของนายธนาธรในตอนนี้ ตรงข้าม กับอุดมการณ์ของตนแต่แรกที่ปฏิเสธตำแหน่งนายกฯ มาโดยตลอด คล้ายสังวรณ์เองได้ว่า พรรคอนาคตใหม่ นั้นหาได้มีคะแนนเสียงจากประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง
ครั้นแล้วทำให้ความสนใจในแวดวงการเมือง พุ่งตรงไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล ผู้กุมบังเหียนพรรคภูมิใจไทย ที่จนถึงเวลานี้ชัดเจนว่ามีสถานะเป็นพรรคตัวแปรที่อาจชี้ขาดเกมการเมืองในครั้งนี้ แม้อาการไว้เชิง วางกลยุทธ์แบบยุรยืด หรืออาจถือตัวว่าตนเป็นกุญแจสำคัญที่จะคลายผนึกความคลุมเครือในเวลานี้ให้เป็นไปได้ดังใจนึก จะทำให้ใครหลายคนนึกฉิวใจขึ้นมาบ้าง
โดยเฉพาะปีกทางด้านของ กลุ่มสนับสนุนพรรคอวดอ้างประชาธิปไตย ที่เหมือนจะพยายามจะง้างให้คายออกมาว่า โมงยามแห่งความขมุกขมัวที่นายอนุทินทำทีถือสองราง ท้ายสุดจะสับให้รถไฟขบวนนี้วิ่งไปยังสายใด ...
แต่เมื่อย้อนกลับไปพินิจให้ถี่ถ้วน จะพบว่า แท้จริงแล้วนายอนุทิน ได้ส่งสัญญาณแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนของตนมาโดยตลอด และหากเป็นเช่นว่านั้นจริง นั่นอาจทำให้ความหวังของนายธนาธร ที่หวังคว้าตัวนักการเมืองเนื้อหอมผู้นี้ มาอยู๋ใต้ปีกของตนถึงกับต้องดับวูบลง
โดยเหตุที่ว่าความต่างด้านทัศนะอย่างสิ้นเชิง ของทั้งตัวนายธนาธร และนายอนุทิน ดูจะผิดฝั่งผิดฝามิอาจผนึกพลังร่วมกันขับเคลื่อนประเทศได้อย่างเป็นเอกภาพ และนั่นอาจเป็นเหตุผลให้นายอนุทิน ปฏิเสธในตัวนายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่ ตั้งแต่แรกเริ่ม เพียงแต่เป็นการทดไว้ในใจมิได้เผยไต๋ต่อสาธารณะ ก็เป็นได้
สำหรับจุดยืนที่ชัดเจนของนายอนุทินนั้น ประกาศไว้เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2562 ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาว่า ถ้าพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเชิญพรรคภูมิใจไทยร่วมจัดตั้งรัฐบาล พรรคดังกล่าวต้องมีคุณบัติ 4 ข้อ ที่ตนจะนำมาพิจารณา อันประกอบไปด้วย
1.เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
2.ประเทศไทยต้องไม่เดินหน้าไปสู่ความขัดแย้ง
3.รัฐบาลต้องมีเสถียรภาพบริหารประเทศได้
4.ประชาชนต้องได้รับการแก้ไขปัญหาปากท้อง
และปิดท้ายด้วยประโยคที่ระบุว่า "ถ้าพิจารณาแล้วไม่เป็นไปตามข้อ 1-4 ผมก็เป็นฝ่ายค้านเพราะไม่ต้องการทำร้ายประเทศชาติ และประชาชน"
แค่เพียงชั้นแรกหยิบยกแต่เพียงข้อหนึ่งที่สำคัญที่สุด มาเปรียบเทียบกับอุดมการณ์และท่าทีของพรรคอนาคตใหม่ที่นำโดยนายธนาธร และมีนายปิยบุตร เป็นมือขวานั้น ก็ดูจะขัดแย้งกับคุณสมบัติของพรรคที่นายอนุทิน กำหนดไว้เสียแล้ว
ด้วยเพราะต้องไม่ลืมว่าถึงแม้ นายธนาธร และนายปิยบุตร จะลดดีกรีความแข็งกร้าว หลังเดินเข้าสู่สนามการเมืองอาจด้วยวิธีอาศัยครูพักลำจำนักการเมืองรุ่นพี่ จนยอมโอนอ่อนผ่อนตามคติรากฐานของสังคม และก้มหน้าสมาทานจารีตแบบกึ่งจำยอม แต่ก่อนหน้านี้ ทั้งสองเคยมีพฤติการณ์หมิ่นเหม่ จากวาจาและแนวคิดที่กระทบกระทั่งต่อสถาบันพระมากษัตริย์ตลอดมา
ที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็น ในคราวแรกพรรคอนาคตใหม่มีการแย้มว่า จะทำการยกเลิก ม.112 ทีมีไว้เพื่อปกป้องพระเกียรติขององค์พระมหากษัตริย์ ต่อมาเมื่อโดนกระแสสังคมตีกลับ กลายเป็นว่าผลิกตะแบงจะไม่ขอยกเลิก แต่เป็นการปรับแก้ จนท้ายสุดเมื่อเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวทางการเมืองก่อนการเลือกตั้ง กลับมีการยืนยันว่าจะไม่ขอแตะต้องกับกฏหมาย ม.112
การแสดงความเห็นในลักษณะดังกล่าว ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะทำให้สังคมมองว่าเป็นการแสดงความเห็นอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของรัฐอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ไม่เพียงเท่านั้นเพราะบางช่วงบางตอนระหว่างการหาเสียงของพรรคอนาคตใหม่
โดยนายธนาธรได้ให้สัมภาษณ์ว่า จะสานต่อภารกิจของคณะราษฎรให้สำเร็จ ซึ่งหากเอ่ยชื่อของคณะราษฎรย่อมตระหนักทราบกันดีว่า คือชื่อเรียกกลุ่มคณะผู้ก่อการยึดอำนาจ ที่ทำการฉกฉวยช่วงชิงพระราชอำนาจจากพระปกเกล้าฯ อย่างฉับพลัน
อีกทั้งนายธนาธรยังเป็นนายทุน ของนิตยสารฟ้าเดียวกัน ชัดเจนว่านิตยสารฉบับนี้เป็นนิตยสารที่ได้แสดงอาการการเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นกระบอกเสียงการเผยแพร่ บทความหมิ่นสถาบันฯ อยู่หลายครั้ง
ขณะที่นายปิยบุตร ที่ก่อนจะกระโจนลงสนามการเมืองนั้น เคยเป็นนักวิชาการสมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์ เป็นกลุ่มที่มีข้อเสนอทางวิชาการด้านนิติศาสตร์ต่อสังคมไทย โดยหลักคือการเคลื่อนไหวเพื่อขับเคลื่อนการยกเลิก ม.112 และเคยปรากฏมีคลิปที่ประเด็น
จนเจ้าตัวต้องออกมาปัดพัลวัน ว่าเป็นเรื่องราวในอดีตสมัยตนเป็นอาจารย์เท่านั้น..? หรืออ้างว่าไม่ได้พูดถึงสถาบันกษัตริย์ในราชอาณาจักรไทย..?
แม้จะฟังไม่ขึ้นแต่เมื่อนำข้อเท็จจริงเหล่านี้มาพิจารณา โดยที่นายธนาธร อาจทำแสร้งลืมตำหนิและมลทินของตนในอดีตจากทุกพฤติกรรมที่สาธยายมาแต่ต้น จากความหวังที่หมายมั่นปั้นมือจะหว่านล้อม พรรคภูมิใจไทยให้มาร่วมหอลงโรง จะกลายเป็นตอกฝาโลงตนแทนหรือไม่ ก็ชวนให้ขบคิดอยู่ไม่น้อย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- "หมอพรทิพย์" ขำไม่ออก นักการเมืองชิงเก้าอี้รมว. ที่หาประโยชน์ได้ "ยุติธรรม" กลายเป็นกระทรวงเกรดC