- 28 พ.ค. 2562
อมตะวาจาของป๋า "ผมพอแล้ว" ถึง "มิตรภาพในยามยาก" ของ จตุพร และ หลวงปู่พุทธะอิสระ
บทความพิเศษ เวทิน ชาติกุล
"...ไม่ต้องปรบมือ อย่าทำอย่างนั้น อย่าได้รู้สึกแบบนี้ ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราเห็นต่างก็ได้พูดกันไปหมดแล้ว มีเรื่องมีราวกันมากมาย เราเป็นคนไทย ผมเป็นคนพุทธ เมื่อทุกอย่างจบก็ให้อโหสิกรรมกัน นี่เป็นโลกปกติของคนที่เกิดมาเป็นคนพุทธ และอยู่อย่างวิญญูชนทั้งหลาย...
...เรื่องราวของมนุษย์แต่ละช่วงเวลามันแตกต่างกัน บางช่วงเวลาเขาก็ได้สร้างคุณูปการไว้มากมาย อย่างน้อย 2 เรื่อง คือเรื่องคำสั่งที่ 66/23 ที่ยุติสงครามที่ฆ่ากันทั้งประเทศ ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) และ กองทัพของรัฐบาลไทย ซึ่ง พล.อ.เปรม ออกประกาศสำนักนายกฯฉบับเดียวตามข้อเสนอของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อีกฝ่ายก็วางอาวุธเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทยด้วยกันได้ ยุติการฆ่ากันตายเป็นหมื่นๆคน... ..
... ประเด็นที่ 2 เรื่องคำว่า "ผมพอแล้ว" ในการประกาศไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง นี่ก็เป็นสัจธรรมทางการเมืองของคนที่รู้จักพอ เพราะฉะนั้นตนเองก็ได้พูดในมิติเรื่องราวต่างๆไปหมดแล้ว คุณงามความดีก็มีในมนุษย์แต่ละห้วงเวลา...เพราะฉะนั้น พวกเราควรจะมองในทุกด้าน นี่ก็คือโดยหลักการ อย่างน้อยเราก็ได้รักษาพื้นที่ความเป็นมนุษย์..."
หลายคนคงจะรู้แล้วว่าข้อความข้างบนนั้นใครเป็นคนพูด หรือถ้ายังไม่รู้ ผมก็จะบอกให้รู้ว่าคนที่พูดคือ" จตุพร พรหมพันธ์ุ แกนนำ นปช. คนที่เคยนำกลุ่มคนเสื้อแดงบุกบ้านป๋าเปรม พูดเมื่อวันที่ พล.อ.เปรม ถึงแก่อสัญกรรม โดยได้ห้ามปรามมิให้คนเสื้อแดงโห่ร้องยินดี
ใครจะคิดเห็นอย่างไร หลายคนอาจไม่เชื่อที่จตุพรพูดออกมา เพราะที่ผ่านมาหลายคนเข็ดขยาดกับวาทกรรมบนเวทีเสื้อแดงของจตุพร(และณัฐวุฒิ) แต่ผมเชื่อว่าจตุพรพูดจากใจจริง ย้อนไปเมื่อครั้งที่ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" ติดคุก จตุพรได้เล่าถึงการเจอกันในคุกในครั้งนั้นว่า
"...ทุกวันนี้ผมมีแต่ความเมตตา ไม่ได้ไปย้อนนึกถึงอดีตที่ใครเคยทำอะไรกับเราไว้ ยิ่งต้องเข้ามาอยู่ในคุก ยิ่งรู้ว่าเราต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำความเข้าใจเรียนรู้กัน ในฐานะที่ผมอยู่มาก่อน ผมเห็นความไม่แน่นอนของอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะกับมนุษย์อย่างเราๆ วันนึงสูง วันนึงต่ำได้ เมื่อวันนี้โชคชะตานำพาให้ พระพุทธะอิสระ ต้องเข้ามาอยู่ด้วยกันที่นี่ ก็พร้อมจะดูแลอย่างดี ช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่ได้ประชดหรือมีความในอย่างอื่นแฝง..." (ไทยรัฐ. 25 พ.ค. 2561)
และคำพูดของ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" ที่กล่าวถึงจตุพรเรื่อง "มิตรภาพในยามยาก" น่าจะเป็นสิ่งยืนยัน "หลวงปู่" เล่าว่า" จตุพร" โทรมาหาเป็นห่วงเรื่องมหาเถรฯออกคำสั่งห้ามมิให้ผู้ต้องคำพิพากษา อยู่ระหว่างรอลงอาญาบวช หลวงปู่ก็ตอบไปว่า "ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นการดีต่อพระธรรมวินัยในอนาคตเสียด้วยซ้ำ จักได้มีการคัดกรองบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ ไม่ให้เข้ามาทำความเสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา จะเป็นอะไร ยังไงจิตใจฉันก็ยังเป็นพระอยู่...และจะไม่กลัวมาห่มผ้าเหลืองจนกว่าจะหมดเวลาคุมประพฤติ"
"....คุณจตุพร จึงถามย้ำว่า ท่านไม่เป็นไรแน่นะ
"....ฉันตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะว่า ไม่เป็นไร ประเทศชาติต้องมาก่อน ความสงบสุขของสังคมภายในประเทศ และความงดงามของพระธรรมวินัย ต้องสำคัญกว่าบุคคล เหมือนที่ฉันบอกแก่คุณไงล่ะว่า ประชาชนต้องมั่งคั่ง ประเทศชาติต้องมั่นคง สถาบันต้องปลอดภัย คนไทยต้องเป็นสุข นั่นแหละคือสิ่งที่นักการเมืองอย่างพวกคุณควรจักทำ..."
"...สุดท้ายคุณจตุพร แจ้งว่า สัปดาห์หน้าหากมีเวลาจักขอเข้ามากราบเยี่ยม ฉันตอบเขาไปว่า ยินดี คงต้องแจ้งมาก่อนว่า ฉันอยู่หรือเปล่า..." หลวงปู่พุทธะอิสระบอกว่า เหตุที่นำเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง....
"...ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เห็นภาพอีกด้านหนึ่งของแกนนำ นปช. ที่เราท่านทั้งหลายคนอาจจะรู้สึกจงเกลียดจงชังไม่ชอบขี้หน้าเขา แต่เขาก็ยังมีอีกด้านหนึ่ง ที่เราท่านทั้งหลาย ยังมองไม่เห็น ไม่เคยได้สัมผัส ซึ่งเป็นด้านที่จริงใจ มีไมตรี และถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม ซึ่งก็ถือว่าเป็นการรักษาบรรยากาศของความปรองดอง ให้ได้เห็นในแผ่นดิน
และสิ่งที่คุณจตุพรแสดงออกมาต่อพุทธะอิสระ ตลอดเวลาที่รู้จัก สนทนา พบปะพูดคุยกันหลายครั้ง ยิ่งทำให้เห็นถึงความจริงใจ ตั้งใจ ที่จักทำสิ่งดีๆ ให้แก่คนรอบข้างและบ้านเมืองนี้ หากมีคนคอยพูดคุยชี้แนะเขา
ขอบคุณในน้ำใจที่คุณๆทั้งหลายและคุณจตุพรมีให้ต่อฉัน ทั้งที่สถานะของพุทธะอิสระในเวลานี้ดุจดังคนล้มละลายในสายตาของผู้อื่นที่เฝ้ามองประมาณว่า ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร อยู่เพื่อเตรียมตัวตายแน่ๆ แต่ก็ยังได้รับน้ำใจจากพวกท่านทั้งหลาย ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ..." (ไทยโพสต์. 10 พ.ย. 2561)
จตุพร พูดถึงคนที่เคยเป็น ศัตรูทางการเมือง อย่าง พล.อ.เปรม ที่บอกว่า "ผมพอแล้ว" (คือการตัดสินใจปิดฉาก "ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ" ไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ และให้ พล.อ.ชาติชาย หัวหน้าพรรคชาติไทยเป็นนายกฯคนต่อ) คือ คุณงามความดีของมนุษย์ในแต่ละห้วงเวลา เราต้องมองคนคนหนึ่งให้ครบทุกด้าน
หลวงปู่พุทธะอิสระ พูดถึง จตุพร ก็แบบเดียวกัน จตุพรก็ยังมีอีกด้านหนึ่ง ที่เราท่านทั้งหลาย ยังมองไม่เห็น ไม่เคยได้สัมผัส ซึ่งเป็นด้านที่จริงใจ มีไมตรี และถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม
ว่ากันว่า พล.อ.เปรม สมัยคุมทัพภาค 2 เคยลงไปในพื้นที่และประสบพบเจอกับตัวเองว่า ในหมู่บ้านหนึ่งๆนั้น แยกกันไม่ได้ว่าชาวบ้านคนไหนเป็นชาวบ้าน คนไหนเป็นคอมมิวนีสต์ จึงเป็นที่มาของความคิดที่เปลี่ยนไป ซึ่งเลิกมองชาวบ้านเป็นศัตรูแบบเหมารวม (แบบทหารอเมริกันมองเวียดกง) มองคนอย่างเป็นคนด้วยกัน จนในที่สุดก็นำไปสู่แนวทางของการจัดการกับ พคท.ที่เปลี่ยนไป และ นโยบาย 66/2523
อุดมการณ์ อุดมคติ ต่อให้เอาหลักการล้ำลึกแค่ไหนมายันมายึด มันก็คือ "สมมุติ" แห่งโลกธรรมที่มนุษย์บัญญัติกันขึ้นมา เราจะเรียกมันว่า" ประชาธิปไตย"" เสรีภาพ" " ความยุติธรรม" " ความเท่าเทียม" หรืออะไรก็ตาม มันอาจทำให้สังคมมนุษย์ดีขึ้น(บ้าง) แต่มันก็ไม่พ้นจากความดำรงอยู่ ความรุ่งเรือง และความเสื่อมถอย เฉกเช่นเดียวกับ ลาภ ยศ คำสรรเสริญเยิยยอ คำนินทาก่นด่า
การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งความดีงามในสังคมต้องนับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ไม่ว่าจะทำจากฝ่ายไหน แต่ความน่ากลัวเมื่อเรามิใช่แค่ "ผู้ใช้สมมุติ" หากแต่ถูกครอบงำด้วยอำนาจแห่งสมมุติที่เรากำหนดขึ้นมาเอง บงการ ปะทะ เผชิญหน้า มุ่งหวังเอาชนะ สุดท้ายก็สูญเสีย บาดเจ็บ ล้มตาย ขุ่นแค้น พยาบาท ก็เพราะ ความยึดถืออยู่ในสมมุติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ รัฐ ระบบปกครอง เงิน ชื่อ ยศตำแหน่ง หรือผ้าเหลือง
การสู้เพื่อความถูกต้อง... นั่นถูก
แต่เหนือความถูกต้องก็คือความรักและความเมตตา... ที่มิใช่แค่ถ้อยคำสวยหรูหรือความคิดหล่อๆ แต่มาจากการเห็นคนอื่นเป็นมนุษย์ที่มีดีมีเลวเฉกเช่นตน
และรู้ว่า ขอบเขต การต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง กับ การมองเห็นคุณค่าความเป็นคน เป็นมนุษย์ ทุกผู้นามนั้นมันอยู่ตรงไหน
อมตะวาจาของป๋าว่า "ผมพอแล้ว" อาจสะท้อนได้มากกว่าบทตอนของการปล่อยวางจากอำนาจของป๋า (ซึ่งยังคงถูก ธนาธร และเครือข่าย ฟ้าเดียวกัน มองต่างออกไปถึงบทบาทของ พล.อ.เปรม หลังจากยุคที่พวกเขาเรียกว่า "เปรมมาธิปไตย" และเฉกเช่นเดิม "คนอย่างธนาธร" ที่ยังคงมองเห็น "ศัตรู" เป็น "ศัตรู" ไม่เป็นอื่น)
แต่มันยังสะท้อนถึงคนที่รู้ว่าการเมืองความจบลงตรงไหน
และความเห็นอกเห็นใจระหว่างกันของเพื่อนมนุษย์ควรเริ่มขึ้นตรงไหน