- 31 พ.ค. 2562
สยบข่าวลือปฏิวัติซ้อน!! เมื่อโลกออนไลน์เสียงแตก นักการเมืองทั้งหลายจงพึงสังวรณ์ ปชช. อีกมากยืนเคียงข้างกองทัพ พร้อมสนับสนุนให้เกิดการปฏิวัติมากกว่าหนุนพวกกินเมือง!!
มิใช่เรื่องเหนือความคาดหมายนัก กับการโหมกระแสข่าวลือในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ยังคงคลุมเครือ ที่ล้วนแล้วแต่เคลือบแฝงด้วยเจตนาปลุกปั่นสร้างความตระหนักตกใจแก่คนหมู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความเคลื่อนไหวของกองทัพ ที่ทำให้ประชาชนผู้เสพข่าวสารอย่างขาดวิจารณญาณออกอาการกระต่ายตื่นตูมตามกันไป จากกระแสข่าวลือการทำ "ปฏิวัติซ้อน" ??
เนื่องด้วยการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังไม่เห็นถึงความชัดเจน เป็นเหตุให้ความสนใจบางส่วนของประชาชนที่เกาะติดข่าวบ้านการเมืองจึงถูกทอนมาที่กองทัพ และนั่นเองที่ทำให้ผบ.ทบ. พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ต้องตกเป็นเป้าสายตาอีกครั้ง จากกรณีเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2562 ตามรายงานเปิดเผยว่า
พล.อ.อภิรัชต์ได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ โดยใช้เวลาพูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ์ ประมาณ 10 นาที ก่อนจะกลับออกมาจากตึกไทยคู่ฟ้าโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์สือมวลชน
ต่อมาพล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ระบุถึงกรณีการจัดตั้งรัฐบาลว่าเป็นเรื่องของพรรคการเมือง ขอให้รอความชัดเจนก่อน ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและธรรมเนียมปฏิบัติ ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีเคารพกฎหมาย คะแนนเสียงของทุกพรรคและความต้องการของประชาชน ไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องทำตามนโยบายของรัฐบาลที่มาจากการมีส่วนร่วมของทุกพรรคการเมือง
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีหวังเพียงให้บ้านเมืองเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้สังคมมองเรื่องของผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะขณะนี้เรากำลังเผชิญกับปัญหาท้าทายหลายอย่าง ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจโลก การแข่งขันในภูมิภาค และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
ด้วยสถานะของตัวพล.อ.ประยุทธ์ ในเวลานี้ ทั้งความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันกับ พล.อ.อภิรัชต์ ว่าจะมีการหารือและร่วมมือกันในด้านใดหรือไม่ หากมองอย่างปราศจากอคติ ย่อมเข้าใจได้ว่า อาจเป็นการหารือทั่วไปเพื่อป้องปรามเหตุการณ์ความไม่สงบที่อาจเกิดขึ้น อันเป็นผลพวงมาจากความแตกแยกและไม่ลงรอยกันบนถนนการเมืองในช่วงเวลานี้
จากการตั้งข้อสังเกตในเบื้องต้น ประจวบเหมาะความเคลื่อนไหวของกองทัพในวันเดียวกันนั้น มีการเผยแพร่โพสต์บนออนไลน์ ปรากฏภาพรถบรรทุกทางทหารเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ และกำลังทหาร บริเวณถนนพหลโยธิน ช่วงจังหวัดกำแพงเพชร มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานครจำนวนหลายคัน
แน่นอนว่านำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพราะการขยับขับเคลื่อนกำลังพลที่เกิดขึ้น อาจมีนัยยะสำคัญเมื่อผ่านมุมมองของกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล คสช. และกองทัพ แต่กระนั้นกลับพบว่ามีเสียงสนับสนุนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการให้กองทัพออกมารื้อกระดานเกมการเมืองที่บางพรรคเริ่มเผยธาตุแท้
หวังต่อรองเท้ากี้เพื่อผลประโยชน์ มากกว่าที่จะถือมั่นในสาธารณะประโยชน์ของประชาชน ด้วยพวกเขาเหล่านี้เชื่อว่าหนทางสู่ความสงบสุขในบ้านเมืองนั้น ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากกองทัพไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเปิดทาง ดังที่เคยปรากฏขึ้นมาแล้วในอดีต
หากนั่นเป็นเพียงการแสดงความเห็นและโต้เถียงบนโลกออนไลน์เท่านั้น เพราะไม่นานหลังจากกระแสข่าวสะพัดดุจไฟลามทุ่ง ทางทัพบกได้ออกมาชี้แจงและให้ความกระจ่างโดยระบุว่า เป็นเพียงการเคลื่อนย้ายกำลัง และยานพาหนะกลับที่ตั้งหน่วย หลังเสร็จจากทำการฝึกเป็นหน่วยรบเคลื่อนที่เร็วของ ทบ. ประจำปี 2562 ณ พื้นที่สนามฝึกทางยุทธวิธี กองทัพภาคที่ 3อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย โดยใช้เส้นทาง ได้แก่
- จาก กรมทหารราบที่ 14จ.ตาก และสนามฝึกทางยุทธวิธี กองทัพภาคที่ 3 อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย ปลายทาง กรมทหารราบที่ 31รักษาพระองค์ฯ จ.ลพบุรี
- จาก กรมทหารราบที่ 14 จ.ตาก และสนามฝึกทางยุทธวิธี กองทัพภาคที่ 3อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย ปลายทาง กองพันทหารม้าที่ 27กองพลทหารม้าที่ 2รักษาพระองค์ จ.สระบุรี
- จาก กรมทหารราบที่ 14จ.ตาก และสนามฝึกทางยุทธวิธี กองทัพภาคที่ 3อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย เข้าสู่ กทม. ผ่าน ถ.วิภาวดีรังสิต ถ.แจ้งวัฒนะ ปลายทาง กองพันทหารช่างที่ 1 กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 5และกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 7กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1ชุดควบคุมการส่งกำลังและซ่อมบำรุง กองพลาธิการ และ กองสรรพาวุธเบา กองพลที่ 1รักษาพระองค์
- จาก กรมทหารราบที่ 14จ.ตาก และสนามฝึกทางยุทธวิธี กองทัพภาคที่ 3อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย ปลายทาง กองพันข่าวกรองทางทหาร ค่ายกำแพงเพชรอัครโยธินจ.สมุทรสาคร
- จาก กรมทหารราบที่ 14จ.ตาก และสนามฝึกทางยุทธวิธี กองทัพภาคที่ 3อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย ปลายทาง กองบัญชาการช่วยรบที่ 1อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
แต่ดูเหมือนจะยังไม่เป็นผลต่อความเข้าใจผิดของประชาชนบางกลุ่ม ที่ยังถือมั่นว่าต้องมีการปฏิวัติเกิดขึ้นเป็นแน่ กระทั่งล่าสุด 31 พ.ค. 2562 ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง 'พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ' รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวที่ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกตกใจ ว่า "ไม่มีอะไร
และได้รับการยืนยันเพิ่มเติมจาก โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ในช่วงนี้มีการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ซึ่งเป็นการปฎิบัติภารกิจการฝึกตามวงรอบประจำปี ดังนั้นประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะเป็นเรื่องปกติ ส่วนที่มีการเชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่ลงตัวในขณะนี้ว่าอาจจะนำไปสู่การปฏิวัติได้นั้น ตนมองว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นเรื่องของการเมือง วันนี้ทุกอย่างเข้าสู่ระบบแล้ว โดยขอให้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่ต้องไปพูดคุยกัน
อย่างไรก็ตามมองว่าการเรื่องการปฏิวัติเป็นการปล่อยข่าว ซึ่งการรับฟังข้อมูลข่าวสารจะต้องมีการกลั่นกรองและใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลว่าเรื่องใดเป็นเรื่องจริง หรือเรื่องใดเป็นเรื่องไม่จริง วันนี้สังคมปั่นป่วนเพราะการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยเฉพาะข่าวปลอม หรือ fake news ซึ่งเราก็มีบทเรียนอยู่แล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ เรายังมีพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ดำเนินการกับการเผยแพร่ข่าวที่ไม่เป็นจริง ใครทำอะไรหรือโพสต์ข้อความที่ไม่เป็นจริงจะเป็นหลักฐานที่จะนำไปดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ ส่วนเว็บไซต์ที่มีข้อมูลไม่น่าเชื่อถือก็ไม่ควรนำมาแชร์ต่อ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับการปลุกเร้าระดมให้เกิดการวิพากษ์และตำหนิกองทัพ โดยทุกครั้งก็จะเห็นได้ว่าเป็นเพียงการปั่นกระแสอย่างหวังผลลัพธ์ทางการเมืองเท่านั้น ประหนึ่งเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนที่มีต่อกองทัพ และหากพินิจพิจารณาก็คงไม่มีกลุ่มใดอื่นที่มีเจตนาเช่นนี้ นอกจากกลุ่มปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลคสช.
แต่ปรากฏการณ์บนโลกออนไลน์นั้นกลับบอกอะไรได้มากยิ่งกว่า เมื่อเสียงสะท้อนของใครหลายคนแสดงให้เห็นว่าพร้อมยืดหยัดเคียงข้างกองทัพ มากกว่าที่จะหนุนหลังนักการเมืองที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนและเก้าอี้ในแต่ละกระทรวง ที่ควรจะพึงสังวรณ์ว่ายังมีประชาชนอีกมากที่เอือมระอาต่อการกระทำของพวกเขาเหล่านั้น และอย่างน้อยที่สุดในแง่มุมหนึ่ง การเคลื่อนกำลังพลในครั้งนี้อาจเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัว ที่ดูเหมือนจะได้ผลดีเสียด้วย...