- 04 มิ.ย. 2562
ดูท่าอาการจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว สำหรับว่าที่รัฐบาลในอนาคต ภายใต้ว่าที่นายกฯคนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีแกนนำจัดตั้ง คือ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งในพรรเองมีการรวมตัวของเหล่าส.ส.หลายกลุ่ม หลายมุ้ง โดยเฉพาะการขยับของกลุ่มสามมิตร ที่ยังไม่ค่อยจะพอใจกับการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่น่าจะตกอยู่ในฝั่งพรรคประชาธิปัตย์
ดูท่าอาการจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว สำหรับว่าที่รัฐบาลในอนาคต ภายใต้ว่าที่นายกฯคนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีแกนนำจัดตั้ง คือ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งในพรรเองมีการรวมตัวของเหล่าส.ส.หลายกลุ่ม หลายมุ้ง โดยเฉพาะการขยับของกลุ่มสามมิตร ที่ยังไม่ค่อยจะพอใจกับการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่น่าจะตกอยู่ในฝั่งพรรคประชาธิปัตย์
หลายคนปรามาสว่ารัฐบาลในอนาคตจะอยู่ไม่นาน แค่ 6 เดือน อย่างเก่งคือ 1 ปี หากนับรวมพรรคภูมิใจ และพรรคประชาธิปัตย์ 254 ต่อ 246 แม้จะได้เสียงมากกว่า แต่ก็ไม่สามารถชนะ ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ จึงทำให้ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” อีกทั้งรัฐบาลผสมเสียงข้างมาก 10 พรรคการเมือง ทำให้เสถียรภาพรัฐบาลอ่อนแอ และที่สำคัญมักมีปัญหาเรื่องการต่อรองทางการเมือง และการคบคุมเสียงส.ส.ในสภาเป็นไปได้ยาก ตามที่เกิดขึ้นในการเลือก ประธานสภา และรองประธานสภา แต่ทว่าเสียงปริ่มน้ำ ..คงไม่น่ากลัวเท่า “คลื่นใต้น้ำ”
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มสามมิตร” ของ สมศักดิ์ เทพสุทิน และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้นัดประชุมส.ส.30 คน ซึ่งในทางการเมืองมองเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อต้องการแสดงพลัง โดยมีจุดประสงค์เป้าหมายบ้างอย่างใช่หรือไม่
เมื่อเวลา 12.00 น.ของวันที่ 4 มิ.ย. 62 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลาดพร้าว กลุ่มสามมิตรเก่า แกนนำพรรคพลังประชารัฐ นำโดย นายสุริยะ ,นายสมศักดิ์ และนายอนุชา นาคาศัย ได้นัดส.ส.กว่า 30 คน ร่วมรับประทานอาหารและหารือต่อการทำหน้าที่ของส.ส.ในสภา รวมทั้งการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 มิ.ย.นี้
ภายหลังการหารือกว่า 1 ชั่วโมง นายสุริยะ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้กลุ่มสามมิตรเก่าเราได้มาทานข้าวหารือกันเพื่อหารือแนวทางการช่วยงานพรรคพลังประชารัฐ และในวันที่ 5 มิ.ย.รัฐสภาจะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เราจึงมาปรึกษาหารือกันว่า จะกำหนดตัวบุคคลที่จะอภิปราย สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากฯและหัวหน้าคสช.ในฐานะแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้ได้รับเลือกเป็นนายกฯ ซึ่งเราได้กำหนดประเด็นสำคัญให้แต่ละคนได้อภิปราย และหากมีกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามอภิปรายไม่เห็นด้วย เราจะชี้แจงได้ในทุกประเด็น โดยทางพรรคคิดว่าประชาชนอยากจะเห็นการจัดตั้งรัฐบาลให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดี จึงต้องการให้ตั้งรัฐบาลให้เรียบร้อย และหากพล.อประยุทธ์ ได้รับการเลือกเป็นนายกฯ จะได้ผลักดัน นโยบายต่างๆที่พรรคได้หาเสียงไว้ เพื่อแก้ปัญหาปากท้องประชาชน เช่น โนบายทางด้านการเกษตร การค้าขายและสวัสดิการเพื่อประชาชนต่าง ให้ประเทศได้ฟื้นฟูขึ้นมา
นายสุริยะ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้เรายังได้หารือเกี่ยวกับการทำงานในสภา เพื่อให้มีศักยภาพมากที่สุด วันนี้ที่เรานัดหารือกันไม่ได้มีเจตนาเพื่อไปต่อรองตำแหน่งใดๆทั้งสิ้น ที่ผ่านมาแม้ว่าตนจะเป็นหนึ่งในแกนนำ แต่ไม่เคยออกมาพูดขอตำแหน่งใดๆ สำคัญที่สุดคือ ทางพรรคเองต้องมีกระทรวงที่ตอบสนองกับนโยบายการหาเสียง หากพรรคไม่เก็บกระทรวงสำคัญๆไว้เลย การเลือกตั้งครั้งหน้า ส.ส.ของเราจะไม่มีที่ยืน ทั้งนี้เรามั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะได้เป็นนายกฯอีกครั้ง ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ
อย่างไรแม้นายสุริยะ จะยังยืนยันที่จะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ แต่การพูดในลักษณะดังกล่าวนั้นโยงไปถึงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นอีกหนึ่งครั้งที่นโยบายทางเกษตร ถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้ กระแส”ข่าวปล่อย”ว่า ส.ส. กลุ่มของนายสมศักดิ์ 30 คนจะย้ายไปพรรคเพื่อไทย หากนายสมศักดืไม่ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จนเจ้าตัวต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลง ปฏิเสธเป็นยกใหญ่ เมื่อช่วงสิ้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
ในแง่มุมหนึ่ง นี่คือ อิทธิฤทธิ์ นักการเมืองมืออาชีพที่พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเจอในอนาคตต่อจากนี้ และหากไม่สามารถคุมอยู่ ไม่ต้องนึกถึงภาพในสภา เกิดเหตุการณ์ ฝ่ายค้าน เลือกอภิปรายไม่ไว้วางใจทิ่มไปที่ตัวบุคคล คู่ขัดแย่งคู่ใดคู่หนึ่ง เกิดการแพ้โหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ เสถียรภาพของรัฐบาลคงไปรอดได้ยาก