- 04 ก.ค. 2562
กลับมาเปิดปากพูดถึงคดีการถือครองหุ้นสื่ออีกรอบ สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ด้วยเหลือเวลาไม่มาก จากกำหนดวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 และศาลรัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้ขยายเวลาส่งเอกสารชี้แจงไปอีก 15 วันตามคำร้องขอ
กลับมาเปิดปากพูดถึงคดีการถือครองหุ้นสื่ออีกรอบ สำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ด้วยเหลือเวลาไม่มาก จากกำหนดวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 และศาลรัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้ขยายเวลาส่งเอกสารชี้แจงไปอีก 15 วันตามคำร้องขอ
เพียงแต่ครั้งล่าสุดนี้ ดูเหมือนว่านายธนาธร ออกอาการชัดเจนว่า หวั่นไหวในข้อกล่าวหาของกกต. ตามคำร้องที่มีการยื่นไว้ โดย นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย อยู่ไม่น้อย แม้ว่าปากจะยืนยันไม่กังวล
โดยการระบุว่าปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ คือ ถ้าส.ส.คนอื่นไม่ถูกตัดสินว่าผิด เพราะแค่จดทะเบียน ไม่ได้ทำสื่อจริง กรณีของตนก็ต้องไม่ผิด เนื่องจากบริษัทวี-ลัค มีเดีย ที่ตนถือหุ้นสื่ออยู่หยุดทำสื่อ ไม่มีพนักงาน เนื่องจากมีการเลิกจ้าง และเตรียมการปิดบริษัทไปตั้งแต่ 25 พฤศจิกายน 2561 แล้ว
ไม่เท่านั้นนายธนาธร ยังพูดถึงแนวโน้มคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญด้วยว่า ถ้าทุกคนรอดหมด ผมผิดคนเดียวก็จะทำให้ประชาชนตาสว่าง เห็นองคาพยพในสังคมว่า องค์กรไหนหนุนการสืบทอดอำนาจของคสช.
คงไม่ต้องอธิบายความว่าในสิ่งที่นายธนาธร ต้องการจะสื่อสารกับสังคมหรือบรรดาแฟนคลับทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ เพื่อจุดประสงค์อะไร
ย้อนกลับไปล่าสุด นายธนาธร ก็เพิ่งไปพูดในช่วงจังหวะเข้าร่วมกิจกรรม "ดนตรีประชาธิปไตย 24 มิถุนา วันอะไร?" แล้วพูดถึงกรณีนายสิรวิชญ์ หรือ จ่านิว ว่า จะต้องไม่ปล่อยให้เขาต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว
นายธนาธร เอ่ยพูดในบางช่วงบางตอนว่า ถึงเวลาที่จะต้องมาเรียกร้องและรณรงค์นำคนผิดมาลงโทษ แต่กรณีนี้จะทำไม่ได้เลยถ้าประชาชนไม่ให้ความสนใจ จึงถึงเวลาแล้วที่ความสนใจของประชาชนกับการทำงานของพรรคการเมืองต้องประสานกัน เพราะต่างมีบทบาทหน้าที่ ไม่ให้เรื่องนี้ผ่านไป
แต่ไฮไลต์สุด ก็คือการที่นายธนาธรเปิดปากพูดว่า เพื่อนร่วมอุดมการณ์ผม ถูกทำร้ายจากการปฏิบัติการที่วางแผนมาดี แยบยล ดังนั้นถึงเวลาที่ประชาชนจะต้องออกมายืนเคียงข้างกัน แสดงความสมานฉันท์กัน ไม่อย่างนั้นอำนาจทมิฬเช่นนี้จะคอยคุกคามประชาชนอยู่เรื่อยไป เราต้องลุกขึ้นแล้วบอกว่าพอได้แล้วกับการข่มขู่คุกคาม ใช้ความรุนแรงมากำจัดคนเห็นต่าง
แน่นอนว่ากับคำพูดในลักษณะแนวๆ นี้ หลายคนคงคุ้นหู เพราะได้ยินบ่อยครั้งมาก ในช่วงเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ในปี 2552 และ ปี 2553 กับสิ่งที่นายทักษิณ ชินวัตร ปลุกระดมให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุม ต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จนสุดท้ายก็กลายเป็นเหตุเผาเมือง มีกองกำลังชุดดำออกมาไล่ยิงทหาร และประชาชน
ถึงตรงนี้ไม่ต้องอธิบายซ้ำ ๆ ว่าทำไมเราจึงเชื่อว่า นายธนาธร หวั่นไหว กับผลการตัดสินคดีถือหุ้นสื่ออยู่ไม่น้อย แม้ปากจะว่าไปอีกแบบหนึ่ง
ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะ อ.ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ได้แสดงความเห็นเกี่ยวโยงกับหลักฐานทางกฎหมาย ที่ถูกนำมาใช้ต่อสู้ทางคดี จากสิ่งที่นายธนาธร หยิบยกมากล่าวอ้างก่อนหน้า
......ไม่กังวล ว่ากันไปตามกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้า ส.ส.คนอื่นไม่ถูกตัดสินว่าผิด เพราะแค่จดทะเบียนไม่ได้ทำสื่อจริง ของตนก็ไม่ผิด เพราะบริษัทที่ตนถือหุ้นสื่ออยู่หยุดทำสื่อ ไม่มีพนักงาน เลิกจ้างเตรียมปิดบริษัทตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 แล้ว
......คำตอบของนายธนาธรดังกล่าว หมายความว่า ผู้ที่ไม่เคยประกอบกิจการเกี่ยวสื่อเลยกับตนเองที่ประกอบกิจการสื่อและมีรายได้จากการทำสื่อ แต่หยุดไม่ได้พิมพ์หนังสือแล้วต้องได้รับการพิจารณาและผลการวินิจฉัยชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญต้องเหมือนกัน
ตรรกะของนายธนาธรก็เปรียบเหมือนกรณีที่นายแดงกับนายเหลืองถูกฟ้องต่อศาลในข้อหาจำหน่ายยาเสพติด ข้อเท็จจริงได้ความว่านายแดงเป็นผู้จำหน่ายยาเสพติดในช่วง ปี 2559-2560 แต่นายเหลืองไม่เคยจำหน่ายยาเสพติดมาก่อนเลย ศาลต้องพิพากษาเหมือนกันคือถ้าลงโทษก็ต้องลงโทษทั้งสองคน ถ้ายกฟ้อง ก็ต้องยกฟ้องทั้งสองคน
แต่ประเด็นสำคัญต้องไม่ลืมว่า.....ก่อนหน้านี้นายธนาธรได้กล่าวตลอดมาว่า ตนเองได้โอนหุ้นของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ให้นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562
แต่ล่าสุดกลับอ้างเหตุว่าหยุดประกอบกิจการสื่อแล้ว แสดงให้เห็นว่านายธนาธรสับสนเอาแน่นอนไม่ได้ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรและจะสู้คดีอย่างไร เพราะความจริงเป็นอย่างไร นายธนาธรย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเองแล้ว
ชัด ๆ เลยประเด็นนี้ ถ้านายธนาธรมั่นใจว่าไม่ผิด ก็ไม่ต้องออกอาการขนาดนี้ ไม่ต้องขอยืดระยะเวลายื่นหลักฐานครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กรณีนี้มีสัญญาณว่าเจ้าตัวกังวล
ทั้งหมดก็ด้วยเหตุผลสำคัญ ว่าโอกาสที่นายธนาธรจะถูกตัดสินชี้มูลผิดมีสูง และในกรณีถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีความผิดตามข้อกล่าวหา ผลกระทบทางการเมืองต่อหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อาจจะถึงขั้นติดคุกติดตารางกันเลยทีเดียว
เริ่มต้นจากการที่สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธรจะสิ้นสุด ด้วยความผิดเรื่อง การต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้ง เป็น ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) คือ เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ
นอกจากนี้ในกรณีถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชี้มูลความผิด นายธนาธรก็อาจถูก กกต. ดำเนินคดีตาม พรป.เลือกตั้ง มาตรา 151 ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกต้ังเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี
และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนด 20 ปี
@ อย่างไรก็ตามไม่ว่าสุดท้ายกรณีการพิจารณาคดีการถือครองหุ้นสื่อของนายธนาธร จะจบลงในรูปแบบไหน อย่างไร สิ่งสำคัญสูงสุดคือการเคารพในกระบวนการยุติธรรม ในทางตรงข้ามหากคำวินิจฉัยเป็นผลลบ แล้วนายธนาธรทำในสิ่งที่ทักษิณเคยทำไว้ ก็คอยดูกันต่อไปว่าอะไรจะเกิดขึ้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- หม่อมเต่านาโพสต์ถึงธนาธร หรือเลือดและกงสีจะข้นกว่าน้ำลาย
- บิ๊กตู่ไม่ใช่ตัวปัญหา !!! ธนกรจวกธนาธรมีอคติ เลิกใช้วาทกรรมสืบทอดอำนาจ
- ธนาธรเคลื่อนไหวพูดถึงจ่านิว ฟังแล้วนี่ไม่ใช่ไฮปาร์คปลุกระดมใช่ไหม
- อย่าว่าแต่นายกรัฐมนตรีเลย "ธนาธร" ความรู้ที่มีเป็นรัฐมนตรีช่วยยังไม่ได้เลย