แค่ส.ส.สุรินทร์ไปขอบคุณ "บิ๊กตู่" ช่วยชาวบ้าน ถึงต้องกดดันเอาผิด ...แล้วถูกมั๊ยล่ะ ทักษิณเลือกจัดงบฯ ปลอดประสพ หยามคนภูเก็ต  ??

ต้องลุ้นกันอีกสักพักใหญ่ๆ ว่า บทลงเอยเรื่องการทำหน้าที่ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทยของ นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม , นายตี๋ใหญ่ พูนศรีธนากูล หลังจากนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ภาคอีสาน เดินหน้าเอาผิดในกรณีไปร่วมต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ถึงขั้นยื่นหนังสือให้พรรคเพื่อไทย ดำเนินการตั้งคณะกรรมการ สอบวินัยและจริยธรรม จะจบอย่างไร

ต้องลุ้นกันอีกสักพักใหญ่ๆ  ว่า บทลงเอยเรื่องการทำหน้าที่ ส.ส.สุรินทร์    พรรคเพื่อไทยของ  นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม  ,  นายตี๋ใหญ่ พูนศรีธนากูล    หลังจากนายยุทธพงศ์  จรัสเสถียร  ส.ส.มหาสารคาม   พรรคเพื่อไทย  ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ภาคอีสาน  เดินหน้าเอาผิดในกรณีไปร่วมต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม   ถึงขั้นยื่นหนังสือให้พรรคเพื่อไทย ดำเนินการตั้งคณะกรรมการ  สอบวินัยและจริยธรรม  จะจบอย่างไร

กรณีนี้ล่าสุด   นายครูมานิตย์   ยังคงยืนยันว่าไม่มีความคิดเรื่องการย้ายพรรค   และก็ไม่ได้หนักใจที่ถูกนายยุทธพงศ์  ยื่นเรื่องให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบความประพฤติ  เพราะที่ผ่านมาได้มีการชี้แจงกับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยไปแล้ว   ว่า  ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้่นเป็นการทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกผู้แทนราษฎรเท่านั้น  และทางผู้บริหารพรรคก็ได้ซักถาม พร้อมตักเตือน และกำชับให้ระมัดระวังเรื่องแบบนี้มากขึ้นเท่านั้น

 

 


สอดรับกับมุมมองของ  นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี   ประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ    ผู้อยู่เบื้องหลังการชักชวน   "เสี่ยลาว"  หรือ   นายพรศักดิ์   เจริญประเสริฐ   อดีต รมช. เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์  ชินวัตร   และ  อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ  ของพรรคเพื่อไทย  ให้ย้ายขั้วย้ายฝั่งมาร่วมกิจกรรมกับพรรคพลังประชารัฐ    

 

แค่ส.ส.สุรินทร์ไปขอบคุณ "บิ๊กตู่" ช่วยชาวบ้าน ถึงต้องกดดันเอาผิด ...แล้วถูกมั๊ยล่ะ ทักษิณเลือกจัดงบฯ ปลอดประสพ หยามคนภูเก็ต  ??


โดยกล่าวถึงการที่ทั้ง  นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม และ นายตี๋ใหญ่  ส.ส.สุรินทร์   พรรคเพื่อไทย   ไปร่วมให้การต้อนรับพล.อ.ประยุทธ์  ในการลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา  ว่า  ส่วนตัวในฐานะส.ส.คนหนึ่ง ต้องขอชื่นชมบุคคลทั้งสอง  ในการปฏิบัติหน้าที่เป็นนักการเมืองของประชาชน   ถือเป็นนักการเมืองน้ำดี ไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย 

 

 


และโดยส่วนตัวได้พูดคุยกับนายตี๋ใหญ่ ทำให้ทราบว่า  ไม่ใช่เป็นการแสดงตัวเพื่อขอย้ายข้างมาสนับสนุนรัฐบาลแต่อย่างใด แต่ทั้งสองคนได้รับแจ้งจากผู้ว่าราชการจังหวัด ว่า  นายกรัฐมนตรีจะมาลงพื้นที่ และมีการนำงบประมาณมาพัฒนาจังหวัดด้วย จึงตัดสินใจไปให้การต้อนรับ

 

 


ในทางกลับกันหากวันนี้ตนเองเป็นฝ่ายค้าน    และทราบว่านายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี    ในฐานะ ส.ส.พื้นที่ก็จะต้องไปร่วมต้อนรับอย่างแน่นอน     เพราะรู้ว่ารัฐบาลมาลงพื้นที่    มารับฟังปัญหาของประชาชน หากตัวเองที่เป็น ส.ส. ไม่มาให้การต้อนรับ   ก็คงตอบชาวบ้านไม่ได้ว่าตกลงแล้วมาเล่นการเมืองเพื่อพัฒนาประเทศ  หรือเพื่อแบ่งสีแบ่งฝ่าย จ้องแต่จะทะเลาะกันเพียงอย่างเดียว  

 

 

@ย้ำชัดๆก็คือพฤติการณ์ที่ส.ส.สุรินทร์ไปร่วมต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์  คนต้นเรื่องมองว่าเป็นหน้าที่ผู้แทนราษฎร  แต่การมองกลับด้านของนายยุทธพงศ์  ทำให้เกิดความคิดต้องย้อนกลับไปสืบค้นรากเหง้าของพรรคเพื่อไทย ในเรื่องการตั้งแง่การดูแลผลประโยชน์ประชาชนกับภาวะความคิดทางการเมือง

 

 

 

เพราะถ้าย้อนกลับไปถอดคำพูดของ     นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์  หัวหน้าพรรคเพื่อไทย   ที่ว่า " ของบประมาณเขาไป  500 บาท แต่เขาให้มา 1,500 บาท  ก็ต้องไปต้อนรับ "   ถือเป็นท่าทีของนักการเมืองอาวุโส     ที่มองต่างอย่างเข้าใจวิถีการเมือง      มากกว่าจะมองปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ในแง่มุมมองทางการเมืองอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

 

แปลความให้ชัด  แม้แต่นายสมพงษ์เองก็ยอมรับว่า   การลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์  ของพล.อ.ประยุทธ์     ชาวบ้านคือผู้ได้รับผลประโยชน์   จากเม็ดเงินการลงทุน  เพื่อแก้ปัญหาของท้องถิ่น   ซึ่งต้องย้ำด้วยเช่นกันว่า  จังหวัดสุรินทร์  มีส.ส.พรรคเพื่อไทย  ถึง 5 คน  ส่วนอีก 2 คน เป็นส.ส.ภูมิใจไทย  และ ส.ส.พลังประชารัฐ

 

แค่ส.ส.สุรินทร์ไปขอบคุณ "บิ๊กตู่" ช่วยชาวบ้าน ถึงต้องกดดันเอาผิด ...แล้วถูกมั๊ยล่ะ ทักษิณเลือกจัดงบฯ ปลอดประสพ หยามคนภูเก็ต  ??  

ขณะที่ในเคสของนายครูมานิตย์เอง  เป็นส.ส.สุรินทร์ มาหลายยุคสมัย   เริ่มตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในปี  2554  ยาวมาจนถึงปัจจุบัน  ปี 2562   ก็ยังได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่  รวมเบ็ดเสร็จยาวนานถึง 18 ปีที่อดีตข้าราชการครูตำแหน่ง อาจารย์ 2 ระดับ 6 โรงเรียนบ้านกะลัน  หักเหชีวิตมาทำหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎร

 

 

@นอกจากนี้ถ้าเทียบเคียงการลงพื้นที่ภาคอีสานของพล.อ.ประยุทธ์   ซึ่งไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคพลังประชารัฐ   แล้วกลายมาเป็นปมขัดแย้งเรื่องการเอาใจรัฐบาลทหาร    กับเหตุกรณีในอดีตยุค ทักษิณ ชินวัตร  หรือแม้แต่เพื่อไทยเองก็ตาม  น่าคิดเหมือนกันว่าประชาชนคนไทยมองกรณีไหนทุเรศทุรังกว่ากัน  

 


จำกันได้หรือไม่ ยุครัฐบาลทักษิณ  ประกาศก้องเรื่องการดูแลประชาชนในพื้นที่ผ่านการกระจายงบประมาณกันอย่างไรบ้าง  จึงเป็นที่มาของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กับบทบาทผู้แทนราษฎร หรือนักการเมืองเลือกตั้งในช่วงนั้น  

 


วันที่ 31 ตุลาคม 2548  ทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี และ  หัวหน้าพรรคไทยรักไทย  กล่าวปราศรัยกับชาวนครสวรรค์  ระหว่างการเป็นประธานมอบหนังสือแสดงสิทธิสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้กับประชาชน ตามโครงการรัฐเอื้อราษฎร์ ที่หอประชุมโรงเรียนบรรพตพิทยาคม อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ 


ความตอนหนึ่งว่า  จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจด้วยการเลือกผู้สมัครส.ส.ของพรรคไทยรักไทย จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ส่วนจังหวัดที่ไว้วางใจน้อย ต้องเอาไว้ทีหลัง ต้องเป็นไปตามคิว 


"ผมเป็นคนพูดตรงไปตรงมา เปิดเผย  สื่อมวลชนอยู่ต้องเปิดเผย ไม่มีความลับสำหรับผม วันนี้คิดกับประชาชนอย่างไร ก็อยากเห็นคนทั้งประเทศไม่ว่าอยู่ที่ไหน เลือกหรือไม่เลือกผม ก็อยากให้ทุกคนหายจน แต่เนื่องจากเวลาจำกัดก็ต้องไล่ลำดับกันไป"


ประเด็นสำคัญที่สุด ก็คือคำพูดของ  ทักษิณ  ทั้่งหมดเกิดขึ้นจากอารมณ์ส่วนตัวล้วน ๆ โดยไม่สำนึกเรื่องของความเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งเลยแม้แต่น้อย ตรงข้ามเป็นการพูดหลังจากที่ทราบผลการเลือกตั้งซ่อมใน 3 จังหวัด  ซึ่งพรรคไทยรักไทยส่งผู้สมัครลงแข่งขัน   แต่ปรากฎว่าสามารถชนะการเลือกตั้งกลับเข้าสภามาได้เพียง 1 จังหวัด คือ สิงห์บุรี   โดยการเอาชนะผู้สมัครจากพรรคชาติไทย  แบบฉิวเฉียด  700   กว่าคะแนน จากเดิมเคยชนะถึงกว่า 2 หมื่นคะแนน 

แค่ส.ส.สุรินทร์ไปขอบคุณ "บิ๊กตู่" ช่วยชาวบ้าน ถึงต้องกดดันเอาผิด ...แล้วถูกมั๊ยล่ะ ทักษิณเลือกจัดงบฯ ปลอดประสพ หยามคนภูเก็ต  ??

 

 

ส่วนในเคสกรณีจังหวัดพิจิตร  ปรากฎว่าพรรคไทยรักไทยพ่ายแพ้ให้กับผู้สมัครจากพรรคมหาชน  กว่า 17,000 คะแนน  และ ยังไปพ่ายแพ้พรรคชาติไทย ที่อุทัยธานี อีกเกือบ 1 หมื่นคะแนน ทั้งๆที่ ทักษิณ ประกาศก่อนหน้านั้นว่าเป็นบ้านเกิดของพ่อตาที่จะต้องเอาชนะให้ได้ 

 

 


@ไม่ต้องย้ำต้องแจกแจงอะไรเพิ่มเติม แต่ก็พอจะมองเห็นภาพเปรียบเทียบคำพูดของทักษิณ ชินวัตร  ต้นแบบพรรคไทยรักไทย , พลังประชาชน และ เพื่อไทย กับสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ พยายามทำกับประชาชนทุกคน ทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียม  ซึ่งนักการเมืองอย่าง ส.ส.ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร  อาจจำไม่ได้ เลยออกอาการเมื่อเห็นส.ส.สุรินทร์ไปต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์

 

 


ทีนี้มาดูอีกหนึ่งตัวอย่าง กับนักการเมืองอย่าง ทักษิณ  ชินวัตร  เป็นเหตุกรณีเกิดขึ้นเมื่อวันที่  17 กุมภาพันธ์  2548  ทักษิณ ชินวัตร  ไปตรวจราชการและเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้   แล้วแสดงแนวคิดเรื่องการจัดสรรงบประมาณให้กับประชาชนในพื้นที่ว่า พร้อมจะดำเนินการเรื่องการจัดสรรงบประมาณในพื้นที่ ในรูปแบบโซนพื้นที่ ออกเป็น 3 กลุ่ม

 

 


คือ 1.สีแดง เป็นพื้นที่ที่ไม่ให้ความร่วมมือกับปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ   2.สีเหลือง เป็นพื้นที่ที่ให้ความร่วมมือน้อย และ 3.สีเขียว เป็นพื้นที่ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

 

 


และถ้าหมู่บ้านใดอยู่ในกลุ่มสีแดง ก็จะไม่ได้รับงบประมาณใด ๆ ในการช่วยเหลือ พัฒนา แก้ปัญหา   รวมทั้งงบเอสเอ็มแอลก็จะไม่ได้   ส่วนสีเหลือง จะมีการจัดสรรงบเข้าไปพัฒนาทีละจุด  เพื่อให้เป็นพื้นที่สีเขียวให้ได้ ขณะที่พื้นที่สีเขียวจะมีการพัฒนา มีงบประมาณเข้าไปอุดหนุนเป็นพิเศษ  เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเห็นถึงความแตกต่างมากที่สุด 

 

 

โดยในเวลานั้น  รัฐบาลทักษิณ  ชินวัตร     มีแผนการใช้งบประมาณปี   2548   จัดสรรเป็นงบพัฒนาพิเศษ  หรือ   เอสเอ็มแอล    ให้กับหมู่บ้านต่างๆ  อำเภอละ 1 หมู่บ้าน  โดยหมู่บ้านขนาดเล็ก  จะได้รับ 2 แสนบาท, ขนาดกลาง 2.5 แสนบาท และขนาดใหญ่  3  แสนบาท   ซึ่้งงบประมาณดังกล่าวก็มีเป้าหมายเพื่อนำไปใช้พัฒนาหรือแก้ปัญหาในแต่ละหมู่บ้าน 

 

 


กระทั่งทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก    ตัวอย่างกรณีของนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี  ที่ออกมาคัดค้านแนวคิดของทักษิณ ชินวัตร ว่า แค่คิดก็ผิดแล้ว  เพราะจะยิ่งก่อให้เกิดปัญหาในพื้นที่มากขึ้น เนื่องจากเป็นการตอกย้่ำความเหลื่อมล้ำ และเท่ากับว่ารัฐเป็นผู้แบ่งแยกดินแดนเสียเอง  

 

 


@ ท้ายสุดอีกหนึ่งประสบการณ์จำไม่ลืม เรื่องการแบ่งแยกพื้่นที่ดูแลประชาชน โดยใช้เรื่องผลประโยชน์การเมืองมาเป็นตัวตัดสิน ก็คือเหตุกรณีที่ภูเก็ต ซึ่งลุกลามบานปลายถึงขนาดมีการลุกฮือขับไล่นายปลอดประสพ  สุรัสวดี

 

 


เนื่องจากนายปลอดประสพ  รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  ไปปราศรัยบนเวทีเสื้อแดง  ระบุใจความตอนหนึ่งว่า   "สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ บอกว่าจะไปสร้างที่ จ.ภูเก็ต แต่เราก็สร้างศูนย์ประชุมที่เชียงใหม่จนสำเร็จ มันก็ทวงให้เราไปสร้างที่ภูเก็ต ยังไม่สร้างให้จะมีปัญหาไหม วันหน้าจะสร้างแน่นอนเมื่อภูเก็ตเห็นความดีของพวกเรา และเลือกคนของเรา วันนั้นจะไปทำให้ วันนี้ไม่มีอารมณ์จะทำ"

 

 


และด้วยคำพูดในลักษณะดังกล่าว ที่มีลักษณะไม่ได้สนใจผลประโยชน์ประชาชนอย่างเท่าเทียม แต่มองเรื่องข้อแลกเปลี่ยนตอนแทนทางการเมือง  ทำให้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2556  ดื้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรง

 

 


โดยทางด้าน นายบุญศุภภะ ตัณฑัยย์ ประธานชมรมรักษ์ภูเก็ต กล่าวถึงการปราศรัยของนายปลอดประสพในช่วงเวลานั้น  ว่า  เป็นการดูหมิ่นดูแคลน และสร้างความไม่พอใจให้แก่คนจังหวัดภูเก็ตจำนวนมาก  รวมทั้งเป็นคนเลือกปฏิบัติ ใช้อารมณ์ในการทำงาน โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจังหวัดภูเก็ต ในเมื่อคนที่เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี เป็นแบบนี้ บ้านเมืองจะเดินหน้าไปได้อย่างไร 

 

 

 

คนภูเก็ตจึงอยากเรียกร้องให้ นายปลอดประสพ ออกมาขอโทษคนภูเก็ต รวมทั้งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี พิจารณาความเหมาะสมของคนที่จะมารับตำแหน่งด้วย เพราะคำพูดที่พูดออกมาสร้างความเสียหายให้แก่จังหวัดภูเก็ตเป็นอย่างมาก !??

 

แค่ส.ส.สุรินทร์ไปขอบคุณ "บิ๊กตู่" ช่วยชาวบ้าน ถึงต้องกดดันเอาผิด ...แล้วถูกมั๊ยล่ะ ทักษิณเลือกจัดงบฯ ปลอดประสพ หยามคนภูเก็ต  ??

 

แค่ส.ส.สุรินทร์ไปขอบคุณ "บิ๊กตู่" ช่วยชาวบ้าน ถึงต้องกดดันเอาผิด ...แล้วถูกมั๊ยล่ะ ทักษิณเลือกจัดงบฯ ปลอดประสพ หยามคนภูเก็ต  ??