- 05 ต.ค. 2562
@จู่ ๆ ก็ออกมาโอดครวญชะตาชีวิต หลังผ่านภารกิจการร่วมเป็นหนึ่งในแกนนำแดงนปช. สำหรับ สมหวัง อัสราษี ที่มีอีกภาพเป็นนักธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดัง อย่าง “มิตซูชิตา” ทีมสปอนเซอร์ช่วงการเคลื่อนไหวทางการเมืองปี 2552-2553 และกิจกรรมนปช.หน้าจอโทรทัศน์ ท่ามกลางข้อสงสัยมากมายในเบื้องลึกเบื้องหลังว่าเกิดอะไรขึ้น
@จู่ ๆ ก็ออกมาโอดครวญชะตาชีวิต หลังผ่านภารกิจการร่วมเป็นหนึ่งในแกนนำแดงนปช. สำหรับ สมหวัง อัสราษี ที่มีอีกภาพเป็นนักธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดัง อย่าง “มิตซูชิตา” ทีมสปอนเซอร์ช่วงการเคลื่อนไหวทางการเมืองปี 2552-2553 และกิจกรรมนปช.หน้าจอโทรทัศน์ ท่ามกลางข้อสงสัยมากมายในเบื้องลึกเบื้องหลังว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งนี้เนื้อหาใจความที่ สมหวัง หรือ เฮียหวัง ที่เคยได้รับการปูนบำเหน็จ ให้เป็นรองประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และ ตำแหน่งทางการเมืองในยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร่ำพรรณาชีวิต ระบุว่ากำลังเดือดร้อนอย่างหนัก ระบุว่า "ใครไม่โดนกับตัวเองจะไม่รู้ ว่าหนักแค่ใหนแบบเดียวกับผม ผมอยู่ นปช. มีแต่ใจเกินร้อยกับพี่น้อง แต่หารู้ไม่ว่า ตัวเองกำลังมีชะตากรรมที่ต้องแบกรับแทนคนอื่น สามเกลอใช้ผมไปเปิดบัญชี เพื่อรับเงินบริจาค และกิจกรรมอื่นๆ
โดยที่พวกเขาไม่ยอมใช้ชื่อตัวเองไปเปิดบัญชีรองรับเงิน เพราะเขารู้ว่าจะถูกสรรพากรประเมินเสียภาษี ทั้งหมดนี้ผมโดนสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากเงินเหล่านี้ เป็นเงิน 572 ล้าน ผมจะเอาที่ใหนไปจ่ายก็เลยโดนฟ้องล้มละลาย และตอนนี้โดนอายัดทรัพย์ และอายัดบัญชีทั้งหมดเหลือแต่ตัวแล้วครับ แถมเป็นบุคคลล้มละลายด้วย ไม่สามารถทำอะไรได้เลย นี่คือ สมหวัง อัสราษี
ผมมันโง่เอง รักพวกจนไม่คิดถึงชีวิตและอนาคตตัวเอง บทเรียนที่แสนแพงในชีวิต ชิบหายทั้งตระกูล เพียงเพราะคำว่าเพื่อน...!???
@พูดถึง 3 เกลอนปช. โดยความหมายของ เฮียหวัง คงเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจาก วีระกานต์ มุสิกพงศ์ , จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แต่ประเด็นก็คือ จริงหรือที่ นักธุรกิจอย่าง เฮียหวัง จะยอมเป็นเครื่องมือให้กับ 3 เกลอ แบบไม่มีเงื่อนไข ข้อตกลง หรือ ข้อแม้ใด ๆ
เพราะต้องไม่ลืมว่า เฮียหวัง ถือเป็นนักธุรกิจเสื้อแดง ที่มีแนวทางการเคลื่อนไหวการต่อสู้เพื่อระบอบทักษิณอย่างชัดเจน จนได้รับความดีความชอบ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งภารกิจ สำคัญ ๆ ทางการเมืองตั้งแต่ปี 2554 ตามมติครม.ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เริ่มต้นจาก
1.ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554
2.ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2555
3.ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555
4.ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2556
@เห็นได้อย่างชัดเจนว่า หลายปีที่ผ่านมา จริง ๆ แล้ว เฮียหวัง ก็ทำงานกับ 3 เกลอมาโดยตลอด เพียงแต่ในช่วงได้ดิบได้ดี ไม่เคยมีการพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ส่วนรายละเอียดทั้งหมด อันเกี่ยวเนื่องกับการโพสต์ตัดพ้อหมดเนื้อหมดตัว เพราะไปเปิดบัญชีรับบริจาคเงิน มีข้อมูลตามปราฎในหนังสือกรมสรรพากร ดังนี้
หนังสือ ออกโดยสำนักงานกรมสรรพากร พื้่นที่กรุงเทพมหานคร 28 เขตราษฎร์บูณะ กทม. ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 ถึง นายสมหวัง อัสราษี เรื่อง เตือนให้นำเงินภาษีอากรค้างไปชำระ เนื่องจากมียอดค้างชำระค่าภาษีอากร ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ลงวันที่ 28 มีนาคม 2562 รวมจำนวนเงิน 572,617,921 บาท และที่ผ่านมายังมิได้ชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลา
ทั้งนี้สำนักงานสรรพากร แจ้งกำหนดให้นำเงินไปชำระภายใน 15 วัน นับแต่ทื่ได้รับหนังสือฉบับนี้ หากพ้นกำหนดไม่นำเงินไปชำระหรือไม่แจ้งขัดข้องหรือข้อโต้แย้งอย่างหนึ่งอย่างใด ทางราชการจำเป็นต้องดำเนินการยึดและหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อชำระค่าภาษีอากร ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฏากรต่อไป
@ บวกลบกำหนดเวลา ที่ปรากฎตามหนังสือกรมสรรพากร ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 และกรอบการดำเนินการตามกฎหมายภายใน 15 วัน ทำให้สังคมเกิดความแปลกใจมากขึ้่นว่า ทำไม เฮียหวัง เพิ่งจะมาตัดพ้อให้เกิดเป็นประเด็นดราม่า ทั้ง ๆ ที่ช่วงเวลาผ่านมานานถึงกว่า 4 เดือนแล้ว
ดังนั้นกับข้อความพร้อมการแสดงหนังสือของกรมสรรพากร ของ เฮียหวัง ซึ่งระบุว่า "นี่คือหนังสือจากกรมสรรพกรที่เรียกเก็บภาษี จากนายสมหวัง อัสราษี เรื่องจริงไม่ใช่ดราม่า และไม่จำเป็นต้องดราม่า เปนการระบาย ความอีดอัด เนื้อไม่ได้กินเหมือนคนอื่นแต่ดันเอากระดูกมาแขวนคอ" จึงเป็นประเด็นต้องสืบค้นต่อไป ว่าเบื้องลึกจริง ๆ คืออะไร
ขณะที่ข้อมูลทางธุรกิจของ เฮียห วัง ค้นพบว่า ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา เคยปอกเปลือกเส้นทางชีวิตไว้อย่างละเอียดพอสมควร ในแง่มุมของการเป็นนักธุรกิจเสื้อแดง ว่า เฮียหวัง ได้โอนทรัพย์สินไปยังบุคคลอื่นแล้วตั้งแต่ปี 2553 ตามรายละเอียดบางส่วนดังนี้ นายสมหวัง อัสราษี ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีการกระทรวงพาณิชย์ (เลขาฯนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์) ได้โอนหุ้นธุรกิจให้ทายาทในช่วงเคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่อปี 2553 ก่อนรับตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยนายสมหวัง เป็นเจ้าของธุรกิจผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อ บริษัท สแกนเนอร์ อิเลคทริค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จดทะเบียนวันที่ 19 สิงหาคม 2539 ทุนปัจจุบัน 45 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 302 หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านคลองสวน อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ และมี นางเพ็ญแข เจตน์ประสิทธิ์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ณ วันที่ 12 มกราคม 2552 และนายสมหวัง อัสราษี เป็นถือหุ้นใหญ่ 449,994 หุ้น จากทั้งหมด 450,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2553 นายสมหวังโอนหุ้นให้นางเพ็ญแข อัสราษี จำนวน 100,000 หุ้น ทำให้นายสมหวัง เหลือสัดส่วนถือครองเหลือ 349,994 หุ้น โดยมี นายธนัช วัฒนรัฐกำจร , น.ส.โนรี ปานกลิ่นพุฒ และนางปัทมา บัวแก้ว คนละ 2 หุ้น
จากนั้นในวันที่ 3 มีนาคม 2553 นายสราวุทธิ อัสราษี ได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่แทน จำนวน 422,250 หุ้น ขณะที่ นางเพ็ญแข อัสราษี ลดสัดส่วนถือหุ้นเหลือ 20,250 หุ้น , นายธนัช วัฒนรัฐกำจร , น.ส.โนรี ปานกลิ่นพุฒ นางปัทมา บัวแก้ว เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นเป็นคนละ 2,500 หุ้น
ขณะที่ข้อมูลล่าสุดที่ปรากฎอยูในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท สแกนเนอร์ อิเลคทริค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ก่อตั้งเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2539 จนถึงปัจจุบันยังคงดำเนินกิจการอยู่ โดยมีการแจ้งทุนจดทะเบียน 45 ล้านบาท สินทรัพย์ปัจจุบัน มีมูลค่ารวม 108,172,902.94 บาท และมีรายได้รวม 202,493,247.43 บาท แยกเป็นผลกำไรในปี 2561 รวมมูลค่า 4,057,393.53 บาท