- 20 พ.ย. 2562
ศรีสุวรรณ จ่อเล่นงานซ้ำ "ธนาธร" หลังทราบคำวินิจฉัย
จากกรณี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์เพื่อตัดสินคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง( กกต.) ร้องขอให้วินิจฉัยว่า สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) จากกรณีถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ขณะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.หรือไม่
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพการเป็นส.ส.ของนายธนาธรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการอยู่ ณ วันที่พรรคอนาคตใหม่รับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นวันแรกโดยให้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ส.ส.วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป และให้ถือว่าตำแหน่งว่างลงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย
สืบเนื่องจากกรณีดังกล่าวนั้น เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นายศรีสุวรรณ จรรยา บอกกับ "เนชั่นทีวี" ภายหลังรับทราบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พ้นสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ว่า ตนจะเดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ในวันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายนนี้ เพื่อยื่นข้อเรียกร้องให้ กกต. ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ให้พิจารณาโทษนายธนาธร ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 151 ซึ่งบัญญัติว่า หากผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร ส.ส. แต่ยังคงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี และเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี
นายศรีสุวรรณ บอกต่อว่า จริงๆ เป็นหน้าที่ของ กกต.อยู่แล้วที่จะต้องดำเนินการเรื่องนี้ แต่ตนต้องไปยื่นเรื่องเพื่อกระตุ้น กกต. เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจนว่า นายธนาธรรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้าม เพราะถือครองหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด อยู่ในวันที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เรื่องนี้ถือเป็นการดำเนินการต่อเนื่องของตน หลังจากได้ยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ของนายธนาธร กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในวันนี้
สำหรับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ มาตรา 151 บัญญัติว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนดยี่สิบปี
ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าวให้แก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย