- 21 ส.ค. 2563
โดยทางด้าน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะที่ปรึกษา กมธ. ซึ่งเป็นสัดส่วนพรรคก้าวไกล ได้มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวเนื่องจากการพิจารณางบประมาณส่วนราชการในพระองค์ ว่า "กมธ.งบฯ 64 : ปรับกระบวนการพิจารณางบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ให้เหมือนกับหน่วยงานอื่นๆ ย่อมเป็นผลดีที่สุด" ระบุใจความสำคัญบางช่วงตอน "ที่ประชุมกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี 2564 ได้มีการพิจารณางบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ ในปีงบประมาณ 2564 ส่วนราชการในพระองค์ของบประมาณ 8,980 ล้านบาท
กลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงทางการเมืองอีกประเด็นหนึ่ง สำหรับการประชุมของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 เมื่อวันที่ 20 ส.ค.63 และเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่พรรคก้าวไกล แสดงจุดยืนเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แยกเป็นอิสระจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน เนื่องด้วยความเห็นต่างในประเด็นเรื่องการปรับแก้หมวดที่ 1 และ 2 ซึ่งเกี่ยวโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์
(คลิกอ่านข่าวประกอบ : รังสิมันต์ โรม ย้ำแนวคิดก้าวไกลแก้รธน. ลั่นไม่มีข้อห้ามรื้อหมวดสถาบันกษัตริย์ )
โดยทางด้าน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะที่ปรึกษา กมธ. ซึ่งเป็นสัดส่วนพรรคก้าวไกล ได้มีการโพสต์ข้อความเกี่ยวเนื่องจากการพิจารณางบประมาณส่วนราชการในพระองค์ ว่า "กมธ.งบฯ 64 : ปรับกระบวนการพิจารณางบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ให้เหมือนกับหน่วยงานอื่นๆ ย่อมเป็นผลดีที่สุด" ระบุใจความสำคัญบางช่วงตอน "ที่ประชุมกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี 2564 ได้มีการพิจารณางบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ ในปีงบประมาณ 2564 ส่วนราชการในพระองค์ของบประมาณ 8,980 ล้านบาท
โดยปกติผู้บริหารสูงสุดของหน่วยรับงบประมาณต้องมาชี้แจงงบประมาณด้วยตนเอง แต่ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติมา ผู้บริหารของส่วนราชการในพระองค์ไม่ต้องมาชี้แจง และให้สำนักงบประมาณเป็นผู้ชี้แจงแทน
สำนักงบประมาณใช้เวลาชี้แจงงบประมาณของส่วนราชการในพระองค์เพียง 2 นาที โดยไม่ให้รายละเอียด ผมจึงถามว่าทำไมงบประมาณที่แจ้งขอมานั้นพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างน่าตกใจ เพราะพบว่าในปี 2564 มีการของบประมาณทั้งสิ้น 8,980 ล้านบาท ในขณะที่งบประมาณของปี 2563 เป็นจำนวน 7,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,295 ล้านบาท หรือ 16.8% การเพิ่มขึ้นของงบประมาณสูงกว่าการเติบโตของภาพรวมงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งปี 2564 เพิ่มเพียงแค่ 3.1% เท่านั้น
นอกจากนี้ หากเทียบจากตัวเลขงบประมาณของส่วนราชการในพระองค์จากปี 2561 จนถึงปี 2567 จะเห็นว่างบเพิ่มขึ้น 67% ภายใน 6 ปี ถือว่าสูงอย่างน่าตกใจ สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ, การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเติบโตของงบประมาณ ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้ยังไม่นับว่าในการเสนองบทุกปี ก็มีการแก้ไขตัวเลขคาดการณ์ในปีถัดไปให้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เกินกว่าคาดการณ์ในปีก่อนหน้านั้นอีกด้วย...."
ขณะที่มีรายงานข่าวก่อนหน้าว่า เจ้าหน้าที่สำนักงบฯ ได้มีการชี้แจงกรณีวงเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นงบบุคลากรของหน่วยงานที่รับโอนมาตาม พ.ร.ก. โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 แต่นายธนาธรไม่เห็นด้วย พร้อมกับซักค้านในหลายประเด็น โดยอ้างอิงการตรวจสอบเอกสารของกระทรวงกลาโหม ปรากฎตัวเลขยังงบประมาณดังกล่าวอยู่ปีละประมาณ 1,200 ล้านบาท ดังนั้นจึงหมายความว่างบฯที่เพิ่มขึ้นเกิดจากส่วนราชการในพระองค์เอง
"ตนเชื่อว่าพระองค์ท่านไม่ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดงบประมาณ แต่เป็นหน่วยงานนำเสนอขึ้นมาเอง ตนอยากถามผู้บริหารหน่วยงานว่า การนำเสนองบประมาณเพิ่มขึ้นปีละ 16.8 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ประเทศกำลังยากลำบาก เก็บภาษีไม่เข้าเป้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นในอัตราน่าใจหาย ประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับการอยู่บ้านต่อสู้โควิดทำให้รายได้ลดลงต้องอยู่อย่างอยากลำบาก การที่ท่านเพิ่มงบประมาณ 16.8 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเหมาะสมหรือไม่ การนำเสนองบประมาณเช่นนี้ ทำให้พระองค์ท่านเสื่อมเสียพระเกียรติหรือไม่ ที่มากไปกว่านั้น และเหตุผลที่ตนต้องตั้งคำถามก็คือ งบประมาณส่วนงานในพระองค์เพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจและเพิ่มไม่หยุด"
ประเด็นน่าสนใจ คือ นายธนาธร อ้างยืนยันว่า พระมหากษัตริย์ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างสมพระเกียรติ และย้ำว่าพระองค์ท่านไม่ได้ทำงบประมาณ หากแต่เป็นผู้บริหารในส่วนราชการในพระองค์เป็นผู้ทำ การให้งบประมาณหน่วยงานเพิ่มขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ มีแต่จะทำให้พระองค์เสื่อมเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศและประชาชนย่ำแย่ยากลำบาก ดังนั้นจึงอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อทำให้สามารถช่วยส่วนราชการในพระองค์พิจารณาได้อย่างถี่ถ้วน ช่วยรับรองและชี้แจงต่อสาธารณะได้ว่างบประมาณเหมาะสม หรือมิเช่นนั้น ขอให้ทางหน่วยงานปรับลดลง โดยให้เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 3.1 เท่ากับภาพรวม ถ้าเป็นจำนวนเงินคือเพิ่มขึ้น 243 ล้านบาท จากปีที่แล้ว หรือลดลง 873 ล้านบาทจากงบประมาณ ปี 2564 ที่ขอมา
ล่าสุด นายอัษฎางค์ ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า "ธนาธรปกป้องหรือโจมตีสถาบันฯ?" มีใจความสำคัญ ว่า ก่อนอื่นขอบอกผมไม่ได้บอกว่า ธนาธรปกป้องหรือโจมตีสถาบันฯ แต่คนยี่ห้อธนาธรนั้น ทั้งเขาและเรา รวมทั้งคนไทย รู้กันอยู่แกใจ ว่ายี่ห้อนี้ ปกป้องหรือโจมตีสถาบันฯ
มีคนถามมาตลอดว่า เห็นคนแชร์กัน โดยโจมตีว่า ทำไม ประชาชนลำบากยากจน แต่รัฐบาลเอางบประมาณแผ่นดินจากเงินภาษีของประชาชน ไปถวายให้ในหลวงใช้ตั้งปีละ 3 หมื่นล้าน ในหลวงคนเดียวใช้เงินอะไรตั้ง 3 หมื่นล้าน คือพูดกันตรงๆ แบบที่ชาวบ้านโดนหลอก ให้เมาส์กันสนั่นเมืองว่า ในหลวง ผลาญเงินภาษีของประชาชน
วันนี้มีคำตอบ !
ธนาธรรู้อยู่เต็มอก เหมือนพวกเราอีกจำนวนมาก ว่า งบประมาณในหน่วยราชการในพระองค์ ไม่ไช่เงินที่ถวายให้ในหลวงใช้ส่วนตัว แต่เป็นงบที่หน่วยงานนั้นใช้ ขอยกตัวอย่าง หนึ่งในหน่วยงานที่สังกัดอยู่ในหน่วยราชการในพระองค์ คือ กรมทหารราบ ร1 ร11 ซึ่งก็คือหน่วยงานของกองทัพ ที่ย้ายจากกลาโหม มาเป็นหน่วยงานส่วนพระองค์ แล้วหน่วยงานกองทัพต้องใช้เงินงบประมาณสูงเป็นปกติอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น มันมีงบซื้ออาวุธ แต่แทนที่มันจะโชว์ที่กลาโหม มันก็เปลี่ยนมาโชว์เป็นงบประมาณของหน่วยราชการในพระองค์ คนเลยเอาไปบิดเบือนได้ง่ายว่า งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน ถวายให้ในหลวงใช้(ส่วนตัว) สูงมาก ผิดปกติ พอเข้าใจมั้ยครับ คือเงินงบประมาณในส่วนนี้ คืองบของหน่วยราชการในพระองค์ ไม่ใช่เงินที่ถวายให้ในหลวงใช้ส่วนพระองค์
คนไทยเป็นคนอ่านน้อย อย่างที่เขาพูดกันว่าอ่านไม่เกิน 8 บรรทัด แต่เนื้อหาที่ธนาธรพูดมายาวเป็น 80 บรรทัด คนที่อ่านแค่ 8 บรรทัดแรก ก็จะจบด้วยความเข้าใจผิดว่า งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน ถวายให้ในหลวงใช้(ส่วนตัว) สูงมาก ผิดปกติ แต่ถ้าอ่านครบ 80 กว่าบรรทัด ก็จะเห็นข้อความที่ธนาธรพูดอย่างสวยงามว่าเข้าใจ ว่างบประมาณตรงนั้นในหลวงไม่ได้เอาไปใช้จ่ายส่วนพระองค์ แต่เป็นงบของ”หน่วยราชการในพระองค์ ” ซึ่งชื่อ”หน่วยงานในพระองค์” ไม่ได้หมายความว่า เป็นเงินที่เอาไว้ใช้ส่วนตัว แต่เป็นหน่วยงานราชการหน่วยงานหนึ่ง เหมือนหน่วยงานราชการทั่วไป แค่มีชื่อลงท้ายว่าหน่วยงานราชการ”ส่วนพระองค์” เท่านั้น เพราะฉะนั้นพออ่านถึง 80 บรรทัดจะเจอข้อความนี้ ลองอ่านกันดู
ธนาธร...“ท่านประธานครับ เหตุผลที่ผมถามคืออย่างนี้ครับ ทีแรกผมคิดว่าเมื่อปี พ.ศ. 2563 ที่มีการผ่าน พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ (พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562) ราบที่ 11 และราบที่ 1 จากกระทรวงกลาโหมให้กับส่วนราชการในพระองค์ “ผมเข้าใจว่างบฯ ที่เพิ่มขึ้นของส่วนราชการในพระองค์ คือการรับงบประมาณของราบที่ 1 และราบที่ 11 มาจากกระทรวงกลาโหม”
ข้อความตรงนี้ของธนาธร (ขีดเส้นใต้ไว้เลย) ชี้ให้เห็นว่า เขาเข้าใจว่า”งบฯ ที่เพิ่มขึ้นของส่วนราชการในพระองค์ คือการรับงบประมาณของราบที่ 1 และราบที่ 11 มาจากกระทรวงกลาโหม”
แล้ว สาเหตุที่งบประมาณในส่วนของ หน่วยราชการในพระองค์สูง ก็เพราะเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณของกองทัพ เพียงแต่ปัจจุบันถูกย้ายออกจากกองทัพไปสังกัด หน่วยงานราชการส่วนพระองค์
ส่วนข้อความในท่อนต่อไป ธนาธรพูดว่า....
“เพราะงบของกองทัพบกปีนี้ก็”ลดลง” แต่จากเอกสารของกระทรวงกลาโหม ผมพบว่าการโอนกำลัง โอนไปแต่บุคลากร แต่กระทรวงกลาโหมยังถืองบประมาณไว้อยู่ ซึ่งก็คือปีละประมาณ 1,200 ล้านบาท ดังนั้นถ้าเป็นไปตามนี้หมายความว่า งบที่”เพิ่มขึ้น”เกิดจากส่วนราชการในพระองค์เอง” ข้อความตรงนี้ ธนาธร พยายามจะบอกว่า ลดลง หรือ เท่าเดิม กันแน่ แกล้งพูดวกไปเวียนมา ให้คนอ่านสับสนรึป่าว
ใครอ่านดีๆ ก็คงเข้าใจดีว่า เมื่อแยก ราบ 1 และ ราบ 11 ออกจากกลาโหม ไปหน่วยงานราชการส่วนพระองค์แล้ว ทำให้งบประมาณในส่วนของ หน่วยงานราชการส่วนพระองค์เพิ่มขึ้น (ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ) ส่วนที่ผิดปกติ (ตามความเห็นของธนาธร) คือกลาโหม เพราะงบประมาณของกลาโหม ยังคงเท่าเดิม เพราะฉะนั้น ถ้ายึด”ตามความเห็นของธนาธร” งบประมาณในส่วนของ”หน่วยราชการในพระองค์ เป็นปกติ” แต่ที่ผิดปกติคือ กลาโหม เพราะฉะนั้น ธนาธร ต้องชี้เป้าให้คนจับตาหรือโจมตีก็แล้วแต่ ไปที่กลาโหม ธนาธร กลับไปชี้เป้าให้คน”จับตาหรือโจมตีในหลวง” ผ่าน หน่วยงานราชการส่วนพระองค์ หรือไม่?
“ท่านประธานครับ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติในภาวะวิกฤต เมื่อทุกหน่วยงานต่างพยายามตัดลดงบประมาณ เมื่อพี่น้องประชาชนและข้าราชการต่างก็ร่วมมือร่วมใจกันเสียสละ อดทน ต่อสู้ไปด้วยกัน หากส่วนราชการในพระองค์ยอมตัดลดงบประมาณลง ย่อมทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สูงเด่นขึ้น เพราะเมื่อประชาชนมองมาก็จะเห็นได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน”
ถ้าอ่านผ่านๆ มันดูเหมือนธราธรกำลังปกป้องสถาบันฯ แต่อ่านดูดีๆ นี้มันไม่ใช่ธนาธร กำลังปกป้องสถาบันฯ แต่กำลังพูดให้ตัวเองดูดี ด้วยการชี้เป้าให้คนโจมตีสถาบันฯ หรือไม่? เพราะอย่างที่ผมอธิบายไปแล้วว่า งบประมาณที่เพิ่มขึ้นในส่วนของหน่วยราชการในพระองค์ ความจริงคืองบเดิมของกระทรวงกลาโหม เพียงแต่ถูกโอนย้ายสังกัดจากกลาโหมไปเป็นหน่วยราชการในพระองค์ แปลว่างบประมาณในส่วนของหน่วยราชการในพระองค์ เป็นปกติ แต่ที่ผิดปกติ คืองบประมาณของกลาโหมที่ยังเท่าเดิม แต่ธนาธร ใช้วิธี ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว หรือไม่? ว่า งบประมาณในส่วนของหน่วยราชการเพิ่มขึ้น และในส่วนของกลาโหมก็เพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่ กลาโหมเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น(ตามความเห็นของธนาธร)
“ท่านประธานครับ อย่างไรฝากสำนักงบประมาณนะครับ จาก chart (แผนภูมิ) ที่ผมได้นำเสนอให้ดูแล้วว่าในแต่ละปีตั้งแต่ปี 2561 ถึงปี 2564 มีการ revise (แก้ไขใหม่) งบประมาณเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจทุกปี ผมเองก็เกรงว่าถ้าไม่โปร่งใส จะทำให้พระเกียรติเสื่อมเสีย ก็ฝากให้ท่านช่วยนำข้อความของผมไปถึงส่วนราชการในพระองค์ด้วย ด้วยความหวังดีนะครับ ขอบคุณครับ”
เมื่อธนาธรพูดว่าเข้าใจ แล้วทำไมยังเหมือนว่า ชี้เป้าให้คนโจมตี ทั้งกลาโหม และหน่วยงานราชการส่วนพระองค์ ซึ่งธนาธนน่าจะรู้อยู่ว่า ชาวบ้านจะเข้าใจผิดว่า เป็นงบประมาณที่ให้ในหลวงใช้ส่วนตัว
ธนาธรพูดหล่อๆ ว่า เป็นห่วงว่าประชาชนจะเข้าใจผิด จะทำให้ในหลวงเสื่อมเสียพระเกียรติ ซึ่งฟังเหมือนธราธรกำลังปกป้องสถาบันฯ แต่ความจริงธนาธรกำลังชี้เป้าให้คนโจมตีสถาบัน หรือไม่?
หมายเหตุ : ไม่ได้เจาะจงว่า ธนาธรคือไอ้โม่ง เพราะคำว่าไอ้โม่ง คือคนที่ปิดหน้า และทำกันเป็นขบวนการ แต่เอาธราธรมาเป็นตัวอย่าง เพราะสิ่งที่ธนาธรพูดออกมา ช่วยเปิดอธิบายและจุดประสงค์ของไอ้โม่งเรื่องมันยาวและเข้าใจยากสักหน่อย ด้วยคารมคมคายของคนรูปหล่อ เพราะฉะนั้นถ้าท่านอ่านรอบเดียวไม่เข้าใจ โปรดอ่านซ้ำ เพราะผมก็อ่านอยู่หลายรอบถึงเข้าใจว่า ธนาธรเล่นคำ หรือเล่นกล หรือเล่นใคร อยู่หรือไม่?