- 28 พ.ย. 2563
ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ "ดร.นิว" รับไม่ได้ รุ้ง ปนัสยา ออกทีวี ดีเบต อาจารย์นิด้า ปมสนง.ทรัพย์สินฯ สะท้อนชัดระดับแกนนำ ไม่มีความรู้ กลายเป็นพิธีกรจอมขวัญ ต้องโดดช่วยเป็น 2 รุม 1
กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองขณะนี้ จากกรณีการเปิดเวทีดีเบต ประเด็น "พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 2561" ระหว่าง ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กับ น.ส. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ "รุ้ง" แกนนำกลุ่มราษฎร ที่ประกาศแนวทางเคลื่อนไหว เรื่องการปฏิรูป เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันเบื้องสูง รวมถึงการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจ แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ว่าแท้จริงไม่เข้าใจในสิ่งที่เรียกร้อง ต้องการ แม้แต่น้อย
ทั้งนี้ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการโพสต์แสดงความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว ไว้ค่อนข้างมากพอสมควร อาทิ "ไม่นึกว่าแกนนำม็อบราษฎรคนสำคัญอย่างรุ้ง จะไม่มีความรู้อะไรเลย แค่แยกแยะประเด็น "งบหน่วยราชการในพระองค์" กับ "ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" ยังแยกไม่ออกเลย"
"ไม่นึกว่าแกนนำม็อบราษฎรคนสำคัญอย่างรุ้ง จะไม่มีความรู้อะไรเลย แค่แยกแยะประเด็น "งบหน่วยราชการในพระองค์" กับ "ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" ยังแยกไม่ออกเลย แล้วตกลงรายการนี้ชื่อว่า #ถามตรงๆกับจอมขวัญ หรือ #ดีเบตกันกับจอมขวัญ กันแน่? เพราะดูเหมือนคุณจอมขวัญกำลัง ดีเบตกับ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ มากกว่ารุ้งเสียอีก"
ทั้งนี้ก่อนหน้า ดร.นิว ได้เคยมีการโพสต์ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ว่า "#เบิกเนตรสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์... แม้ว่าทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชมรดกมาตั้งแต่คราวเป็นเงินถุงแดง มีฐานะเป็นพระคลังข้างที่ แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการค้ำชูประเทศชาติ เคยใช้ไถ่บ้านถอนเมืองจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 และยังค้ำชูเศรษฐกิจของชาติเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะทรัพย์สินเหล่านี้อยู่ในการดูแลรักษาของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง
นานมาแล้วที่กิจการต่างๆในประเทศถูกแทรกแซงและซื้อไว้ในครอบครองของต่างชาติ ตลอดจนทุนสามานย์โดยคนไทยด้วยกันเอง แต่เราคนไทยก็ยังสามารถมั่นใจได้ว่า เรายังมีกิจการของชาติที่มั่นคง และเป็นหลักชัยทางเศรษฐกิจของคนทั้งประเทศ นั่นก็คือ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
ด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกลและพระปรีชาสามารถของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เริ่มต้นจากเงินถุงแดงของในหลวง ร.3 แบงก์สยามกัมมาจลของในหลวง ร.5 ซึ่งก็คือธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบัน และบริษัทปูนซีเมนต์ไทยของในหลวง ร.6 กลายมาเป็นเอกราชของชาติทางเศรษฐกิจ ที่เราทุกคนมีร่วมกันอย่างในทุกวันนี้
ตรงกันข้าม เมื่อคณะราษฎรยึดพระคลังข้างที่หรือพระราชมรดกของสถาบันพระมหากษัตริย์มาอยู่ในความควบคุมของคนเพียงหยิบมือ กลับใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ การซื้อทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในราคาถูก เพื่อนำมาเป็นทรัพย์สินของตนเอง ดังเช่นกรณีของขุนนิรันดรชัย อดีตคนสนิทของจอมพล ป. ซึ่งเป็นที่มาของการฟ้องแย่งมรดกหลายหมื่นล้านของลูกหลานในปัจจุบัน
ถามว่าวันนี้ทรัพย์สินทั้งหมดที่คณะราษฎรแย่งไปเป็นของตนเองเหล่านั้นเป็นของใคร? สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนได้หรือไม่? เห็นแล้วหรือยังว่าทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มันช่างหอมหวาน เป็นที่ต้องการของคนโลภ ไม่ใช่แต่เพียงแค่ทุนสามานย์ในประเทศ แต่ยังรวมถึงทุนสามานย์จากต่างประเทศอีกด้วย ดังนั้นการเคลื่อนไหวของม็อบราษฎรไปยังสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จึงเป็นการทุบหม้อข้าวของตัวเอง แล้วเปิดทางให้ทุนสามานย์เข้ามาแทรกแซงโดยไม่รู้ตัว