แนะนำ 5 วิธีแก้ปัญหาเก็บเงินไม่อยู่แบบง่ายๆ ที่วัยทำงานเริ่มต้นได้เลย!

    เชื่อว่าปัญหาหลักของคนวัยทำงานที่ทุกคนต้องเจอเป็นประจำหลังเงินเดือนออก นั่นคือ “เก็บเงินไม่อยู่” ซึ่งสาเหตุหลักๆ คงหนีไม่พ้นกับยอดบิลค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน หรือผ่อนบัตรเครดิต ฯลฯ จึงเป็นปัญหาหลักที่หลายคนอยากเริ่มต้นเก็บเงินเพื่ออนาคต แต่เริ่มทำไม่ได้เสียที

 

    แต่ปัญหาจะหมดไป เมื่อคุณรู้จักกับวิธีการแก้ปัญหาเก็บเงินไม่อยู่ รับรองว่าสุขภาพด้านการเงินของวัยทำงานต้องดีขึ้น และคล่องตัวมากกว่าเดิม

ทำไมเก็บเงินไม่อยู่? อยากมีเงินเก็บ
    นอกจากบิลค่าใช้จ่ายมากมายที่รออยู่ในวันสิ้นเดือนที่ทำให้เก็บเงินไม่อยู่แล้ว เชื่อว่าหลายคนก็มีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการเงินด้วย เช่น ใช้จ่ายในแต่ละวันมากเกินไป หรือเผลอรูดบัตรเครดิตซื้อของที่ไม่จำเป็นจนมีหนี้อย่างไม่รู้ตัว

 

ด้วยเหตุนี้เอง มาทำความรู้จักกับ 5 วิธีแก้ปัญหาเก็บเงินไม่อยู่กันเลยดีกว่า ว่ามีอะไรกันบ้างที่น่าสนใจ แถมเริ่มต้นทำได้ง่ายๆ

วิธีแก้ปัญหาเก็บเงินไม่อยู่

    เมื่อทราบสาเหตุของปัญหาเก็บเงินไม่อยู่แล้ว วิธีแก้ปัญหาดังกล่าวมีดังต่อไปนี้

1. เริ่มต้นด้วยการวางแผนการเงิน
    การวางแผนการเงินประกอบไปด้วย 1.การตั้งเป้าหมายเงินเก็บ 2.ควบคุมค่าใช้จ่าย และ 3.หาช่องทางให้เงินลงทุนงอกเงย ซึ่งหากทำครบ 3 อย่างตามที่กล่าวไปข้างต้น จะช่วยให้มีเงินเก็บมากขึ้น โดยการตั้งเป้าหมายเงินเก็บควรทำได้จริง เพื่อให้มีแรงผลักดันให้ออมเงินจนถึงเป้าหมาย โดยไม่ย่อท้อเสียก่อน

 

    นอกจากนี้การควบคุมค่าใช้จ่าย ไม่ได้หมายความว่าต้องประหยัดมากเกินไป เพียงแค่ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต ก็ช่วยมีเงินเก็บได้แล้ว ที่สำคัญการฝากเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารเพื่อช่วยให้มีเงินงอกเงยจากอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะมีแหล่งรายได้ เพิ่มขึ้นอีกทางนั่นเอง
    

    
2. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย

    การทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นวิธีเบื้องต้นที่ทุกคนต้องเคยได้ยินกันมาแล้ว แต่การทำบัญชีรายรับรายจ่ายที่ถูกต้อง ควรระบุวันที่ และค่าใช้จ่ายทุกรายการให้ครบถ้วน นอกจากนี้สมุดสำหรับทำบัญชีรายรับรายจ่าย ควรมีขนาดเล็ก เพื่อพกพาออกไปจดบันทึกนอกบ้านได้ง่ายขึ้น

3. ใช้ตารางออมเงิน
    ตารางออมเงินเป็นวิธีเก็บเงินแบบง่ายๆ ที่เหมาะสำหรับผู้ชอบเก็บเศษเหรียญหยอดกระปุก โดยมีตารางออมเงินหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นตารางเก็บเงิน 1000 บาท หรือตารางออมเงิน 10,000 บาท ซึ่งวัตถุประสงค์ของการใช้ตารางดังกล่าว คือ ช่วยให้คุณเก็บเงินได้ทุกวันตั้งแต่ 10 บาท ไปจนถึง 100 บาท และเพื่อเสริมสร้างวินัยทางการเงินที่ดี

4. ใช้ทฤษฎี 6 jars ในการเก็บเงิน
    ทฤษฎีไห 6 ใบ เป็นเทคนิคช่วยแก้ปัญหาเก็บเงินไม่อยู่ ซึ่งทฤษฎีนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน โดยไห 6 ใบ เป็นวิธีการแบ่งเงินเป็นสัดส่วน ประกอบไปด้วย

 

    ไหใบที่ 1 เป็นไหที่สำคัญมากที่สุด เนื่องจากเป็นไหเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ ซึ่งตามทฤษฎีแนะนำว่าควรเก็บเงินในส่วนนี้ 55% หากใช้เงินเกินกว่านี้ แสดงว่าเราอาจใช้จ่ายเกินตัวมากเกินไป

 

    ไหใบที่ 2 เรียกว่าไหแห่งความรู้ โดยเจ้าของทฤษฎี T.Harv Eker แนะนำไว้ว่าความรู้คือการลงทุนรูปแบบหนึ่ง เพราะความรู้ที่มากขึ้น จะนำไปสู่ทักษะใหม่ๆ ที่ช่วยต่อยอดรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งการเก็บเงินเพื่อความรู้ควรแบ่งเงินไว้สัก 10% ก็เพียงพอแล้ว

 

    ไหใบที่ 3 หรือไหแห่งการลงทุน ซึ่งเราควรเก็บเงินออมไว้ประมาณ 10% ของรายได้ เพื่อเพิ่มพูนรายได้ให้งอกเงย โดยการลงทุนในไหใบนี้มีตั้งแต่ การฝากเงินในธนาคาร ลงทุนในหุ้น กองทุนรวม ฯลฯ ซึ่งคุณสามารถเลือกออมเงินตามความชื่นชอบ และไลฟ์สไตล์การลงทุน

    ไหใบที่ 4 เรียกว่า ไหแห่งการบริจาค โดยแนะนำให้เก็บเงินในส่วนนี้ 5% ของรายได้ เพราะการทำบุญเพื่อช่วยเหลือสังคม ย่อมทำให้เรามีความสุขขึ้น หรือการซื้อของไปฝากเพื่อน ฝากคนในครอบครัว ก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลดีขึ้น ช่วยให้สุขภาพใจดีขึ้นในระยะยาว

    ไหใบที่ 5 หรือไหแห่งความสุขส่วนตัว เงินเก็บออมในไหใบนี้ควรมีสัก 10 % ของรายได้ สาเหตุที่ต้องจ่ายเงินเพื่อให้รางวัลเป็นเพราะ การมุ่งมั่นเก็บเงินมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดในระยะยาว และหมดกำลังใจท้อถอยไปเสียก่อน 

 

    ไหใบที่ 6 เรียกว่าไหวันเกษียณ สำหรับไหใบนี้ควรเก็บออม 10 % ของรายได้ทุกวันสิ้นเดือน สาเหตุที่ไหใบนี้สำคัญ เพราะว่าวันเวลาผ่านไป สุขภาพเริ่มโรยรา และหาเงินได้น้อยลง เงินในไหใบนี้จะช่วยให้ชีวิตหลังเกษียณง่ายขึ้นนั่นเอง

 

    สรุปได้ว่าสัดส่วนของการเก็บเงินในไหทั้ง 6 คือ 55-10-10-5-10-10 ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องใช้สูตรดังกล่าวเสมอไป อาจปรับตามความเหมาะสมตามสถานะการเงินส่วนบุคคลก็ได้ ที่สำคัญการวางแผนการเงินด้วยทฤษฎี 6 Jars ควรมีกระปุกออมสินไว้สัก 6 ใบ เพื่อให้การวางแผนการเงินตามทฤษฎีดังกล่าวง่ายขึ้น

5. เลือกใช้ตัวช่วย แอปเก็บเงิน MAKE by KBank

 

หากไม่ต้องการแก้ปัญหาเก็บเงินไม่อยู่ด้วยวิธีเดิมๆ อย่างการทำบัญชีรายรับรายจ่าย หรือการใช้ตารางออมเงินที่ต้องลงรายการในสมุดบันทึกทุกวัน ซึ่งอาจหลงลืมลงรายการได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเราสามารถแก้ปัญหาได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้แอปพลิเคชัน “MAKE by KBank”
โดย MAKE by KBank มาพร้อมกับฟีเจอร์เด็ดที่ช่วยให้วัยทำงานจัดการเงินด้วยฟีเจอร์อย่าง  Cloud Pocket และ Expense Summary อีกทั้งยังมีฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น Shared Cloud Pocket ที่ช่วยแชร์กระเป๋าเงิน เพื่อจัดการบริหารการเงินแบบกลุ่มได้ง่ายขึ้น เป็นต้น

    2 ฟีเจอร์เด็ดช่วยเก็บเงินจาก MAKE by KBank 

    MAKE by KBank แอปพลิเคชันน้องใหม่จากธนาคารกสิกร ที่ช่วยให้คุณจัดการเงินในบัญชีง่ายๆ มีฟีเจอร์เด็ดน่าสนใจ ช่วยเก็บเงินได้อยู่หมัดดังนี้ 
1. Cloud Pocket
    Cloud Pocket เป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ “กระเป๋าเงิน” ช่วยให้เราแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ ทำให้คุณสามารถจัดการเงินในกระเป๋าได้แบบง่ายๆ โดย Cloud Pocket ได้ออกแบบชื่อน่าสนใจ ที่คุณเลือกได้ตามความชอบ เช่น กระเป๋าลงทุน, กระเป๋าค่าใช้จ่าย จะว่าไปแล้ว Cloud Pocket ก็เปรียบเสมือนไห 6 ใบในเวอร์ชันทันสมัยมากขึ้น ไม่ต้องซื้อกระปุกออมสินมาเพื่อหยอดเงินใ่ส่กระปุกทั้ง 6 ใบให้เสียเวลา
2. Expense Summary
    ฟีเจอร์ที่ช่วยสรุปยอดการใช้จ่ายในแต่ละเดือน ที่ทำให้คุณลืมวิธีเก็บเงินแบบเก่าได้เลย ซึ่ง Expense Summary ยังแยกแยะรายการค่าใช้จ่ายให้คุณทราบอีกด้วยว่า ใช้เงินไปกับส่วนใดมากที่สุด เช่น ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายด้านอาหาร ฯลฯ ทำให้เราทราบว่าต้องลดค่าใช้จ่ายส่วนใดเป็นพิเศษ หมดปัญหาการจ่ายเงินฟุ่มเฟือยจนเก็บเงินไม่อยู่ไปได้เลย

สรุป
    วิธีจัดการปัญหาเก็บเงินไม่อยู่ ประกอบด้วย 5 วิธี ตามที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งหากไม่ชอบวิธีดั้งเดิม ที่ต้องคอยจดบันทึก หรือหยอดกระปุกออมสิน สามารถใช้แอปพลิเคชัน MAKE by KBank เพื่อช่วยให้การจัดการเงินง่ายขึ้น ที่สำคัญยังให้ผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี ส่วนเกิน 100,000 บาท ผลตอบแทน 0.5% ต่อปี

    หากสนใจผู้ช่วยบริหารเงินให้คุณแบบง่ายๆ สามารถดาวน์โหลด MAKE by KBank ผ่านทาง Play Store ได้ทั้งระบบ iOS และ Android มาเตรียมพร้อมการเก็บเงินเพื่ออนาคต ลดค่าใช้จ่ายกันเลย!