- 24 ม.ค. 2560
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม : www.tnews.co.th
กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทุกคนต่างจับตามองว่าสุดท้ายแล้วคดี ครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตครูใน จ.สกลนคร วัย 54 ปี ที่ออกมาร้องขอความเป็นธรรมกับสังคม โดยอ้างว่าเธอนั้นตกเป็น “แพะ” ในคดีขับรถชนคนเสียชีวิตโดยประมาท เมื่อปี 2548 โดยต่อสู้คดีใน 3 ชั้นศาล กระทั่งถูกศาลฎีกาสั่งจำคุก 3 ปี 2 เดือน ยืนยันคำตัดสินตามศาลชั้นต้น
จนภายหลังได้รับการอภัยโทษเมื่อปี 2558 โดยรับโทษจำคุกนานกว่า 1 ปี 6 เดือน ซึ่งระหว่างจำคุก ญาติและเพื่อนร่วมงานได้พยายามร้องขอความเป็นธรรมไปยังกระทรวงยุติธรรมมาตลอด เนื่องจากเชื่อว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อเป็นอิสระจึงเดินหน้ารวบรวมหลักฐานเพื่อขอความเป็นธรรมที่ทำให้เธอนั้นไร้อิสรภาพ เสียศักดิ์ศรีของความเป็นครู และถูกตราหน้าว่า “ฆ่าคนตาย” ซึ่งไม่ต่างกันกับฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ เพราะตั้งแต่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทนายความ และอัยการ ต่างถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำหน้าที่ที่ไม่เป็นธรรม
โดยทั้งครูจอมทรัพย์ และ ฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างงัดหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงเพื่อตีแผ่ให้เกิดความกระจ่าง และมีผู้มาสนับสนุนและเลือกฝั่งกันอย่างชัดเจน ว่างานนี้ใครเป็น “แพะ” และใครเป็น “แกะ” กันแน่
ซึ่งในเวลานี้นั้นกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวก็จะเป็นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกมาเปิดเผยถึงกระบวนการสำคัญในครั้งนี้
โดยตัวละครที่เปิดเผยตัวออกมาในครั้งนี้นั้นก็จะเป็นกลุ่มเพื่อนครูที่ร่วมแรงกันช่วยติดตามจนพบคนขับรถตัวจริงอย่างนายสับ วาปี
นายสุริยา นวนเจริญ อดีตผอ.โรงเรียนบ้านแก้งช้างเนียน อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร และนางรจนา จันทรัตน์ เพื่อนครูจอมทรัพย์ที่เชื่อมั่นว่าเพื่อนเธอนั้นบริสุทธิ์ จึงได้ช่วยกันไปเช็คเลขทะเบียนรถที่ขนส่งและพบว่ารถคันที่ก่อเหตุจริงอยู่ที่ จ.มุกดาหาร อีกทั้งที่อยู่ของผู้ก่อเหตุก็อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ ตนและเพื่อน จึงเดินทางไปหาผู้ก่อเหตุ และทำทีเป็นขอซื้อรถเก่าและตะล่อมถามรายละเอียดถามประวัติอื่นๆ ว่าเคยชนหรือไม่ ซึ่งทางผู้ก่อเหตุ “ยอมรับ” ว่าเคยชน แต่ไม่ได้ใช้แล้ว และจอดรถซุกไว้อยู่ในป่าอ้อย เมื่อสืบไป-มา จึงทราบว่าผู้ก่อเหตุตัวจริงยอมรับว่าเป็นคนชน ไม่คิดว่าครูจอมทรัพย์จะมารับโทษแทน นอกจากนี้ยังเผยรายละเอียดสำคัญอีกมากมาย เช่น ปีที่ชน, สถานที่เกิดเหตุ เป็นต้น
แต่เมื่อได้ได้ตรวจสอบ ประวัติ ปูมเบื้องหลังของกลุ่มที่ออกมาสนับสนุนทั้งฝ่ายแพะ และฝ่ายแกะว่า สถานะในสังคมจะน่าเชื่อถือเพียงพอต่อการออกมาแสดงความคิดเห็นในคดีหรือไม่
นายสุริยา นวนเจริญ หรือครูอ๋อง อดีตผอ.โรงเรียนบ้านแก้งช้างเนียน อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร เพื่อนครูจอมทรัพย์ พบว่าในอดีตได้ลาออกจากครูในตำแหน่งผู้อำนวยการ เพื่อมาทำกิจการค้าไม้แปรรูป ที่ผ่านมาถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ในการตัดไม้ทำลายป่า ค้าไม้ผิดกฎหมาย ทั้งไม้แดง ไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้ชิงชัน รวมทั้งไม้พะยูง เป็นบุคคลที่มีรายชื่อที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมายหัวมาโดยตลอมเพราะมีประวัตทำผิดกฎหมายยาวเป็นหางว่าว
นายสับ วาปี ผู้ที่ออกมายอมรับว่าเป็นคนขับรถชนตัวจริง พบข้อมูลอยู่ที่บ้านนันทวัน 46 หมู่6 ต กุดแข้ อ เมือง จ มุกดาหาร แต่เมื่อผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบพบว่าเป็นบ้านของภรรยาหลวงที่อยู่กับลูกชาย ซึ่งนายสับ ไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้มากว่า 3 ปีแล้ว ภรรยาหลวงฐานะดี มีไร่อ้อย แต่ปัจจุบันนายสับได้ไปอาศัยอยู่กับภรรยาน้อยชื่อนางตุ้ย บ้านนาสองห้อง ต.ชะโนด อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร
นอกจากนี้ยังตรวจพบประวัติเป็นขบวนการเดียวกันกับครูอ๋อง ในการค้าไม้พะยูง ซึ่งนายสับ ได้ถูกจับกุมและเพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อปี 58 แต่เมื่อเราติดต่อไปเพื่อขอสัมภาษณ์ก็ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลในเรื่องนี้ส่วนรถกระบะอีซูซุ สีบรอนด์ ทะเบียน 56 มุกดาหารนั้น ก็พบข้อมูลขายไปแล้ว ให้กับคนในจ.อุบลราชธานี เมื่อเกือบ 10 ปี ซึ่งรถคันนี้ยังมีชื่อนายสับ วาปี ครอบครองอยู่ แต่ไม่ได้ต่อทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2552 เจ้าหน้าที่ขนส่งจึงอายัดทะเบียน
และจากแหล่งข่าวที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาเปิดเผยก็อาจจะทำให้เห็นได้ว่า โดยพยานหลักฐานนั้นสำคัญที่ได้จากนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ ที่ได้บอกว่าเห็นคนขับรถกระบะที่ชนรถจักรยานจนเสียชีวิตพบว่าเป็นผู้ชาย ใส่เสื้อแจตเก็ตสีดำ กางเกงผ้าและรองเท้าหนัง เป็นคนที่ลงมาดูผู้เสียชีวิตก่อนที่จะขับรถหนีไปอย่างรวดเร็ว โดยมีไฟส่องที่ทะเบียนพบว่าเป็น เลข 56 ส่วนหมวดอักษรยังไม่ยืนยัน
จากปากคำของพยานปากนี้จึงเป็นที่มาของการเรียกร้องความชอบธรรมให้กับทางด้านของครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร โดยจะทำอย่างไรให้มีผู้ชายมาขับรถ และรถคันนั้นก็ทะเบียน 56นอกจากนี้ยังมีเบาะแสอีกอย่างก็คือสีเขียวที่ติดบนตะเกียบรถจักรยาน
หลังจากนั้นคณะเพื่อนครูก็ได้ไปค้นประวัติของทะเบียน บค.56 พบว่ามีรถกระบะอีซุซุ สีเขียวทะเบียน บค.56 มุกดาหาร ปรากฎชื่อนายสับ วาปี เป็นผู้ครอบครอง ทางเพื่อนครูจึงได้เข้าไปพูดคุยกับนายสับวาปี
แหล่งข่าวระบุในบันทึกประจำวันของ สภ.เรณูนคร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2556 หลังจากครูจอมทรัพย์ ต้องคดีศาลฎีกาพิพากษาเข้าเรือนจำไปแล้ว นายสุริยา นวลเจริญ หรือ “ครูอ๋อง” เพื่อนของครูจอมทรัพย์ ได้มาพร้อมกับนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ พยานในคดีจราจรปี 2548 ในขณะนั้น ขึ้นมาเล่าให้พนักงานสอบสวนฟังว่า ครูอ๋องหรือนายสุริยาอ้างว่ารู้ตัวคนขับรถคันที่ก่อเหตุที่แท้คือใครแล้ว ซึ่งไม่ใช้ครูจอมทรัพย์ โดยปรึกษาว่าจะดำเนินการและหาแนวทางช่วยเหลืออย่างไรในคดีดังกล่าว โดยครูอ๋องอ้างว่าได้ไปนำเรื่องนี้ยื่นถวายฎีกาที่สำนักเลขาธิการสำนักราชวัง ครูอ๋องระบุในฎีกาว่าคนขับไม่ใช่ครูจอมทรัพย์ แต่คำพิพากษาสิ้นสุดแล้วทางสำนักราชฯคงช่วยอะไรไม่ได้
แต่ทางสำนักเลขาธิการสำนักราชวังแนะนำว่า ถ้ารู้ตัวผู้ต้องหาตัวจริง ควรให้นำผลของคดีไปแนบประกอบเรื่องถวายฎีกา แหล่งข่าวจึงถามกลับว่าแล้วรู้ตัวคนขับจริงแล้วเหรอ ครูอ๋องจึงตอบว่าได้ไปตามทะเบียนรถที่มีหมวดอักษรตรงกัน คือทะเบียน บค 56 มุกดาหาร เป็นรถยนต์กระบะ และยังไปสืบค้นจากนายทะเบียนจนทราบว่านายสับ วาปี เป็นผู้ครอบครองรถ
ครูอ๋องยังบอกกับแหล่งข่าวต่อว่า จากนั้นตามไปหานายสับถึงมุกดาหาร พอเจอตัวนายสับแล้ว ก็ยอมรับว่าเป็นผู้ครอบครองรถคันนี้จริง แต่ได้ขายรถคันนี้ต่อให้นายเสริฐ รูปสะอาด ชาว อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ก่อนปี 2548 แล้ว แต่ไม่ได้โอนทะเบียน ครูคนนี้ระบุว่าจึงตามไปหาตัวนายเสริฐที่บ้าน พอไปเล่าเรื่องให้นายนายเสริฐฯ ฟัง นายเสริฐฯจึงสารภาพว่าได้ขับรถชนคนตาย
เมื่อคืนวันที่ 11 มี.ค.2548 ครูอ๋องจึงมาหารือพนักงานสอบสวนว่าจะดำเนินคดีนายเสริฐ ในข้อหาขับรถชนคนตายจะทำอย่างไร พนักงานสอบสวนจึงทำหนังสือนำเรียนผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน มีหนังสือเอกสารทางราชการยื่นเสนอถึง ผบก.ภ.จว.นครพนม และ ผกก. สภ.เรณูนคร ตามลำดับชั้น เพื่อให้วินิจฉัยสั่งการ ภายหลังจึงมีหนังสือตอบกลับจาก บก.ภ.จว.นครพนม ว่าเกินอำนาจของ สภ.เรณูนคร แล้ว ทาง บก.ภ.จว.นครพนม จึงทำหนังสือสั่งการให้ สภ.นาโดน ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
แหล่งข่าวกล่าวในตอนท้ายว่า วันที่ 23 ธ.ค. 2556 ครูอ๋องมาพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.เรณูนคร นั้น แต่ไม่มีตัวนายสับ วาปี มาด้วย มีแค่นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ พยานปากเอกที่อ้างว่าเป็นคนเห็นเหตุการณ์อยู่ด้วย แต่ครูอ๋องเป็นผู้พูดอยู่ฝ่ายเดียว โดยนางทัศนีย์ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ส่วนนายเสริฐครูอ๋องอ้างว่ามาด้วยนั้น อยู่แต่ภายในรถโดยไม่ได้ขึ้นมาที่ สภ.เรณูนคร
“จากข้อมูลการสอบปากคำพบว่า หลังจากวันนั้น (23 ธ.ค.2556) ระยะห่างประมาณ 5 เดือน ในวันที่ 19 พ.ค.2557 นายสับ วาปี ไปโผล่ที่ สภ.นาโดน รับสารภาพว่าเป็นคนขับรถชนคนตาย ให้เจ้าหน้าที่ลงบันทึกประจำวันว่าเป็นคนขับรถชนนายเหลือ พ่อบำรุง เสียชีวิต เมื่อคืนวันที่ 11 มี.ค.2548 จึงทำให้มีคนมาเปิดตัวว่าเป็นคนผิดขับรถชนในคดีครูจอมทรัพย์ถึง 2 คนในคราวเดียวกัน” แหล่งข่าวระบุ
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้พยายามติดต่อทางโทรศัพท์ ขอทราบรายละเอียดที่แท้จริงกับ พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ สัมฤทธิ์สกุลชัย รอง ผกก.สส. สภ.เรณูนคร ซึ่งเป็นผู้บันทึกถ้อยคำของนายสุริยา หรือ “ครูอ๋อง” ในวันที่ 23 ธ.ค.2556 นั้น มีข้อเท็จจริงประการใด แต่ พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ฯ ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียด เนื่องจากผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ให้ข่าวด้วยตนเอง
แต่ทั้งหมดก็ถูกหักล้างที่นาย อุบล ไชยบัน ซึ่งเป็นคนที่ซื้อรถต่อจากนายสับ มาใช้งานอีกที
เรียบเรียงโดย : วัสดา สำนักข่าวทีนิวส์




