คุณตาหัวใส!! ว่างจากทำนา หันมาหยิบจับของใกล้ตัวสร้างรายได้ สานกระติบข้าวเหนียวขาย รายได้เป็นกอบเป็นกำ

     วันที่ 1 พ.ย. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้พบกับคุณตาหนูแดง บุญเขื่อง อายุ 70 ปี  เจ้าของฉายา “พ่อใหญ่ก่องข้าวน้อย”  อยู่บ้านเลขที่ 21 บ้านหัวอ่าง ม.5 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์  อาชีพเสริมหลังฤดูการทำนา หรือว่างเว้นภารกิจประจำวันแล้ว คุณตาหนูแดง ก็จะมานั่งสานกระติบข้าวเหนียว หรือก่องข้าวเหนียว อีสาน ด้วยไม้ไผ่ อาชีพเสริมสร้างรายได้ดีกว่าเดือนละ 10,000 บาท ขายดิบ ขายดี สานจนไม่ทันขาย

     ทางแถบภาคอีสานของไทยเรากินข้าวเหนียวกันมาแต่ดั้งเดิม จนปัจจุบันก็ยังกินข้าวเหนียวกันอยู่ ดังนั้นทางแถบภาคอีสานจึงค้นหาสิ่งที่จะมาปรับปรุงให้ข้าวเหนียวสุกน่ากิน และเก็บไว้ได้นานในภาชนะที่ไม่ทำให้ข้าวเหนียวแข็ง สิ่งที่ทำให้ข้าวเหนียวอ่อนนุ่มอยู่ได้นานก็คือไม้ไผ่ โดยนำมาจักสานจนกลายเป็นก่องข้าวจนถึงทุกวันนี้ การเตรียมไม้ไผ่สำหรับการสานกระติบข้าวนั้น ควรมีอายุไม่เกินหนึ่งปี โดยเลือกไผ่ที่โตเพียงฝนเดียวมาทำก่องข้าวหรือสานกระติบ สำหรับไผ่ที่ใช้ทำกระติบได้ดีที่สุดจะมีอายุประมาณ 4-5 เดือน

     การเลือกไม้ไผ่ จะเลือกไม้ที่มีข้อปล้องยาวและตรง มีผิวเรียบเป็นมันนำมาตัดข้อปล้องทางหัวและท้ายออก โดยใช้เลื่อยตัดรอบไม้ไผ่เพื่อป้องกันผิวไผ่ฉีก ขนาดของปล้องไม้ไผ่หนึ่ง ควรมีความยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร จากนั้นจึงใช้มีดโต้ผ่าออกเป็นชิ้นๆ แล้วใช้มีดตอกจักเป็นตอกขูดเปลือกสีเขียว ของมันออกและตากแดดเพื่อเก็บรักษาเอาไว้ก่อนจะทำงานสาน

      เมื่อเราเหลาไม้ไผ่จนมีขนาดเหลือความหนาประมาณ 0.05 เชนติเมตร เราจะขูดเสี้ยนไม้ออก เพื่อให้ตอกมีความเรียบและอ่อนบางที่สุด กระติบที่ได้ก็จะสวย และเวลาสานถ้าหากว่าเป็นตอกอ่อนก็จะทำให้สานง่ายไม่เจ็บมืออีกด้วย

คุณตาหัวใส!! ว่างจากทำนา หันมาหยิบจับของใกล้ตัวสร้างรายได้ สานกระติบข้าวเหนียวขาย รายได้เป็นกอบเป็นกำ

คุณตาหัวใส!! ว่างจากทำนา หันมาหยิบจับของใกล้ตัวสร้างรายได้ สานกระติบข้าวเหนียวขาย รายได้เป็นกอบเป็นกำ

คุณตาหัวใส!! ว่างจากทำนา หันมาหยิบจับของใกล้ตัวสร้างรายได้ สานกระติบข้าวเหนียวขาย รายได้เป็นกอบเป็นกำ

 

     เมื่อเราได้ตอกมาประมาณ 100-150 เส้นแล้ว ก็จะเริ่มสานติบข้าวได้ บางครั้งผู้สานต้องการเพิ่มลวดลายในการสานกระติบก็จะย้อมสีตอกก่อนก็มี ส่วนใหญ่จะใช้สีผสมลงในกระบอกไม้ไผ่แล้วนำมาย้อมตอกให้เป็นสีสันตามที่ตัว เองต้องการ

 

    

กระติบข้าวหรือที่ชาวอีสานมักเรียกว่า ติบข้าวนั้น เวลาที่ลงมือสานมักจะเริ่มต้นสานใช้ตอก 6 เส้น แล้วสานด้วยลายสอง โดยทิ้งชายตอกให้เหลือประมาณ 5 เซนติเมตร เมื่อสานได้ยาวจนชายตอกอีกด้านเหลือประมาณ 3 เซนติเมตรให้นำชายทั้งสองข้างมาประกับกันโดยใช้ลายสอง และเมื่อนำมาประกบกันได้แล้วด้วยลายสอง ก็จะม้วนชายตอกที่ไม่ต้องการอีกทีด้วยการสานลายสองเวียน

การสานกระติบให้ประกบซ้อนกันเป็นสองชั้น ก็เพื่อช่วยเก็บความร้อนให้อยู่ได้ชั่วขณะหนึ่งพอที่จะทำให้ได้กินข้าว เหนียวที่ไม่แข็งเกินไป นอกจากนั้นกระติบข้าวที่ทำจากไม้ไผ่ยังช่วยดูดซับเอาหยาดน้ำที่อยู่ภายในที่ จะเป็นตัวทำให้ข้าวเปียกหรือแฉะได้อีกด้วย

ขั้นตอนต่อไปคือการขึ้นลายกระติบ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความต้องการของคนที่สานว่าต้องการใช้ลายอะไร เพราะแต่ละลายจะขึ้นต่างกัน ลายกระติบที่นิยมสาน คือ “ลายข้างกระแตสองยืนและสามยืน” การขึ้นลายสองนั้น จะยกตอก 2 เส้นแล้วทิ้ง 2 เส้น และเมื่อขึ้นลายไปได้ประมาณครึ่งหนึ่งของความยาวของตอกแล้ว ก็จะสานต่อด้วยลายสามนอนหรือลายคุบ จากนั้นจึงสานด้วยลายสองยืนอีกครั้งเพื่อความแข็งแรงของกระติบข้าว จากนั้นจึงม้วนเก็บชายตอกด้วยการพับครึ่งเข้าไปข้างในทั้งสองข้างและบีบ เพื่อตกแต่งให้สวยงาม

ส่วนก้นของกระติบข้าวนั้นจะสานเป็นแผ่นแบนสองอันมาประกบกันเข้าแล้วผูกติด กับส่วนตัวกระติบ เรียกขั้นตอนนี้ว่า “อัดตุ๋” ซึ่งมีการเย็บอยู่สองวิธีคือ การเย็บโดยใช้หวาย กับเย็บด้วยการใช้ด้ายเย็บ แต่การเย็บด้วยหวายนั้นให้ความสวยงามตามธรรมชาติ และมีความแข็งแรงกว่าการเย็บด้วยด้าย แต่ปัญหาก็คือหวาย จะหายากในปัจจุบัน

     ส่วนต่อไปคือฐานของกระติบ ซึ่งคนอีสานจะเรียกว่า “ตีนติบข้าว” เป็นส่วนหนึ่งมี่ต้องรับน้ำหนักและจำเป็นที่จะต้องทำให้แข็งแรง ดังนั้นส่วนใหญ่จึงใช้ก้านตาลมาเหลาแล้วโค้งให้เป็นวงกลมเท่ากับขนาดของก้น กระติบข้าว ก้านตาลที่ใช้จะต้องตรงไม่คดเบี้ยวและมีความยาวประมาณ 1 เมตรขึ้นไป นำก้านตาลที่ตัดได้มาเหลาเอาหนามตาลออก ผ่าตามความยาวของก้านตาล ซึ่งก้านตาล 1 ก้านใหญ่สามารถทำตีนกระติบได้ 1-2 อัน จากนั้นจึงผ่าเกลาให้เรียบเสมอกัน นำมาม้วนแล้วทิ้งไว้ให้แห้งโดยใช้เวลาประมาณ 15-20 วันเป็นอย่างน้อย

     การทำฝากระติบข้าวนั้นจะสานเช่นเดียวกับตัวกระติบเพียงแต่ให้ใหญ่กว่าเพื่อ สวมครอบปิดเปิดได้ กระติบข้าวที่สานเสร็จแล้วไม่ควรเก็บไว้ในที่ชื้น เพราะจะทำให้ขึ้นราได้ง่ายและมีมอดเจาะ และควรเก็บไว้ในที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก

     นี่คือภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะเพียงหัตถกรรมพื้นบ้านธรรมดาเช่นนี้ กลับกลายเป็นรายได้อีกทางหนึ่งให้กับชุมชน อนาคตงานจักสานจะดำเนินไปในทิศทางใด หากปล่อยให้กาลเวลาล่วงเลยไป ขอฝากให้กับคนรุ่นใหม่ปัจจุบันสมควรอนุรักษ์เอาไว้

คุณตาหัวใส!! ว่างจากทำนา หันมาหยิบจับของใกล้ตัวสร้างรายได้ สานกระติบข้าวเหนียวขาย รายได้เป็นกอบเป็นกำ

คุณตาหัวใส!! ว่างจากทำนา หันมาหยิบจับของใกล้ตัวสร้างรายได้ สานกระติบข้าวเหนียวขาย รายได้เป็นกอบเป็นกำ

คุณตาหัวใส!! ว่างจากทำนา หันมาหยิบจับของใกล้ตัวสร้างรายได้ สานกระติบข้าวเหนียวขาย รายได้เป็นกอบเป็นกำ

     คุณตาหนูแดง บุญเขื่อง อายุ 70 ปี  เจ้าของฉายา “พ่อใหญ่ก่องข้าวน้อย”   เปิดเผยว่า ทำอาชีพสานกระติบข้าวข้าวเหนียวมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยยังเป็นหนุ่มๆ โดยอาศัยวิธีครูพักลักมาจากพี่ชาย และมีการพัฒนาฝีมือมาเรื่อยๆจนกระทั่งทุกวันนี้ กว่า 50ปีที่ทำอาชีพนี้มา ทำให้ลูกค้าขาประจำเป็นจำนวนมาก เพราะว่า กระติบข้าวเหนียว หรือก่องข้าวเหนียว อีสาน ที่สานด้วยไม้ไผ่ มีคุณภาพ และความสวยงามไม่ได้เป็นรองใคร จึงมีออเดอร์เข้ามาจนทำไม่ทันต่อความต้องการของลูกค้า

     สำหรับราคาเริ่มตั้งตั้งแต่ 500-1,500บาท ขึ้นอยู่แล้วแต่ขนาด ในหนึ่งเดือนจะสานก่องข้าวเหนียวได้เพียง 10-15 อัน ทำให้มีรายได้ นับหมื่นบาทต่อเดือนเลยที่เดียว คุณตาหนูแดงบอกอีกว่าเสียดายที่ไม่มีตัวอย่างให้ชม เพราะทำไม่ทันลูกค้าสั่งจริงๆ "พ่อใหญ่ก่องข้าวน้อย" กล่าว.

คุณตาหัวใส!! ว่างจากทำนา หันมาหยิบจับของใกล้ตัวสร้างรายได้ สานกระติบข้าวเหนียวขาย รายได้เป็นกอบเป็นกำ

คุณตาหัวใส!! ว่างจากทำนา หันมาหยิบจับของใกล้ตัวสร้างรายได้ สานกระติบข้าวเหนียวขาย รายได้เป็นกอบเป็นกำ

คุณตาหัวใส!! ว่างจากทำนา หันมาหยิบจับของใกล้ตัวสร้างรายได้ สานกระติบข้าวเหนียวขาย รายได้เป็นกอบเป็นกำ

 

(ภาพ ชัยยา พาละพล ทีมข่าวสุรินทร์นิวส์ อำเภอพนมดงรัก )

เรียบเรียง ธนินท์ทัศน์ ภูแก้ว ผู้สื่อข่าวภูมิภาคสำนักข่าวทีนิวส์ จ.สุรินทร์