- 12 ก.พ. 2562
สุดทึ่ง!!ต้นโพธิ์ยักษ์พันปีกว่า 10 คนโอบ “วัดโพธิ์เสด็จ”เมืองคอนไม่ได้รับผลกระทบจากฤทธิ์พายุปาบึกแม้แต่น้อย-ในขณะที่ต้นตะเคียนใหญ่ในวัดหักโค่นระเนระนาด 30 ต้น-เผยตำนานต้นพระศรีมหาโพธิ์และวัดโพธิ์เสด็จเก่าแก่ใกล้เคียงองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช-เตรียมพิธี “กวนข้าวมธุปายาส”งานปกระเดณี “มาฆบูชาแห่ผ้าขึ้นธาตุ”เป็นปีที่ 789
สุดทึ่ง!!ต้นโพธิ์ยักษ์พันปีกว่า 10 คนโอบ “วัดโพธิ์เสด็จ”เมืองคอนไม่ได้รับผลกระทบจากฤทธิ์พายุปาบึกแม้แต่น้อย-ในขณะที่ต้นตะเคียนใหญ่ในวัดหักโค่นระเนระนาด 30 ต้น-เผยตำนานต้นพระศรีมหาโพธิ์และวัดโพธิ์เสด็จเก่าแก่ใกล้เคียงองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช-เตรียมพิธี “กวนข้าวมธุปายาส”งานปกระเดณี “มาฆบูชาแห่ผ้าขึ้นธาตุ”เป็นปีที่ 789
(12 ก.พ.) ที่วัดโพธิ์เสด็จ หมู่ 8 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุใกล้เคียงกับองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ได้มีประชาชนจำนวนหลายสิบคนเดินทางไปช่วยกันพัฒนาวัดเพื่อเตรียมการจัดงานประเพณี “กวนข้าวมธุปายาส” หรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “ข้าวยาคู” เนื่องในเทศกาลวัดมาฆบูชา ประจำปี 2562 โดยจังหวัดนครศรีธรรมราชมีการจัดงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่คือประเพณี “มาฆบูชาแห่ผ้าขึ้นธาตุ” เป็นปีที่ 789 กำหนดจัดขึ้นระห่างวันที่ 13-19 ก.พ. 2562 ซึ่งนอกจากจะมีการแห่ผ้า “พระบฎ” ไปประกอบพิธีโอบห่มองค์พำระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เนื่องใน “วันมาฆบูชา” ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 แล้ว ในช่วงดังกล่าวจะมีการจัดกิจกรรมในทางพระพุทธศาสนาอีกมากมาย โดยเฉพาะการกวนข้าวมธุปายาส หรือที่ในจังหวัดนครศรีธรรมราชเรียกว่า “ข้าวยาคู” และวัดโพธิ์เสด็จเป็นวัดหนึ่งในหลาย ๆ วัดทั่วจังหวัดที่เป็นสถานที่ประกอบพิธีกวนข้าวยาคู โดยจะมีการประกอบพิธีตามโบราณประเพณีที่เข้มขลังและเป็นสิริมงคล
แต่เนื่องจากวัดโพธิ์เสด็จ ได้รับผลกระทบจกพายุโซนร้อนปาบึก ทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่ 1-2 คนโอบภายในวัดโดยเฉพาะต้นตะเคียนทองหักโค่นล้มระเนระนาดเกือบ 30 ต้น ทำให้พุทธศาสนิกชนในละแวกใกล้เคียงวัดนำโดยนายสมบัติ สัตย์ชัย อายุ 55 ปี ได้ร่วมกันเดินทางมาร่วมกันพัฒนาวัด เก็บ กวาดทำความสะอาดบริเวณวัด พร้อมตกแต่งสถานที่เพื่อเตรียมประกอบพิธีกวนข้าวมธุปายาสหรือขาวยาคู ในวันที่ 16 ก.พ. 2562 ในขณะที่พระศรีธรรมประสาธน์ (ไมตรี ปภารตโน) เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (ธรรมยุติ ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดโพธิ์เสด็จ ได้นำช่างเลื้อยไม้จาก อ.ลานสกา จำนวนหลายคนมาช่วยตัดโค่นและเลื้อยไม้ตะเคียนทองที่หักโค่นล้มเพราะฤทธิ์พายุปาบึก ทำให้ทางวัดโพธิ์เสด็จได้ไม้แปรรูปขนาดต่าง ๆ เพื่อเก็บไว้ใช้ในการสร้างเสนาสนะภายเป็นจำนวนมาก
ผู้ที่เดินทางมายังวัดโพธิ์เสด็จ จะเดินทางเข้ากราบไหว้สรีระสงขาของพระครูโพธิสารประสาธน์ หรือ “พระอาจารย์ชม” พระแกจิชื่อดังของภาคใต้ อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์เสด็จที่ท่านได้ละสังขารเมื่อเช้าวันที่ 29 พ.ค. 2561ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา สิริอายุ 81 ปี 54 พรรษา โดยบรรดาศิษยานุศิษย์ได้จัดงานบำเพ็ญกุศลศพและทำการบรรจุสรีระสังขารหรือศพพระอาจารย์ไว้ในโลงแก้วภายในศาลาด้านทิศตะวันตกหลังต้นพระศรีมหาโพธิ์ขนาดยักษ์ภายในวัด นอกจากนี้ยังเขากราบไหว้ “หลวงพ่อสมภาร” พระพุทธรูปเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์คู่วัด อายุหลายร้อยปีที่เพิ่งอัญเชิญเข้าไปประดิษฐานในมณฑปที่เพิ่งสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนมกราคม 2562 ที่ผ่านมา
โดยผู้คนทั้งใกล้และไกลต่างพากันสงสัยว่าในช่วงที่พายุโซนต้อนปาบึกพัดถล่มอย่างรุนแรง จนต้นไม้น้อยใหญ่ภายในวัดหักโคนล้มระนะระนาดเกือบ 30 ตัน และเต้นท์ของคนงานก่อสร้างถูกลมพายุพัดถล่มจนพังยับ เหล็กโครงและขาเต้นบิดเบี้ยวเสียหายใช้การไม่ได้ แต่ต้นโพธิ์ยักษ์กลางวัดซึ่งสูงตระหง่านและมีกิ่งก้านสาขากว้างขวางรัศมีโดยรอบไม่น้อยกว่า 20 เมตรซึ่งมีอายุนับพันปีและมีกิ่งก้านที่ผุบนต้นจำนวนมาก แต่กลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ในช่วงพายุปาบึกพัดถล่มแม้แต่กิ่ง ก้านและใบแทบจะไม่ร่วงหล่นลงมาจากต้นเพราะฤทธิ์พายุเลย นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เหลือเชื่อเป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์บารมีของความศักดิ์สิทธิ์ของต้นโพธิ์ยักษ์พันปีต้นดังกล่าว รวมทั้งหลวงพ่อสมภาร และบารมีของพระครูโพธิสารประสาธน์ หรือ“พระอาจารย์ชม”อย่างแน่นอน ชาวบ้านทั้งหมดจึงช่วยกันทำความสะอาดบริเวณรอบ ๆ ต้นโพธิ์ต้นดังกล่าว ซึ่งมีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ กว่า 20 องค์ประดิษฐานล้อมรอบต้นโพธิ์ต้นดังกล่าว และต่างขึ้นทดสอบโดยการจับมือกันโอบล้อมต้นโพธิ์ซึ่งปรากฏว่าต้องใช้คนมากถึง 10 คนพอดีจึงจะโอบรอบต้นโพธิ์ยักษ์ได้รอบพอดี
สำหรับประวัติของวัดโพธิ์เสด็จ และต้นโพธิ์ยักษ์ต้นดังกล่าว มีตำนานที่ชาวบ้านเล่าสืบต่อกันมาว่า ต้นโพธิ์ดังกล่าวต้นเดิมเป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์จากสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับและตรัสรู้ ดังปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาว่าต้นโพธิ์เปรียบได้กับพุทธอุเทสิกเจดีย์อย่างหนึ่ง ทำให้พันธ์ต้นโพธิ์กลายเป็นพันธ์ไม้ที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวพุทธเสมอมานับแต่สมัยพุทธกาล โดยเมื่อครั้งที่มีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ได้มีชาวพุทธจากหลายประเทศเดินทางนำทรัพย์สมบัติมาร่วมก่อสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และมีกษัตริย์หรือเจ้าเมืองต่าง ๆ เสด็จมาร่วมสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ด้วย และได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาด้วยเพื่อปลูกโดยรอบพระบรมธาตุเจดีย์ แต่ละคณะจะมาพำนักอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเวลานานหลายเดือน ซึ่งในอดีตเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝนพื้นที่โดยรอบสถานที่ก่อสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ส่วนใหญ่จะถูกน้ำท่วมบรรดากษัตริย์หรือเจ้าเมืองต่าง ๆ ก็จะเสาะหาพื้นที่ที่ตั้งที่เหมาะสมเพื่อพำนักพักพิงและพบว่าสถานที่ตั้งของวัดโพธิ์เสด็จในปัจจุบันเป็นจุดที่สูงน้ำไม่ท่วม หรือที่ภาษาถิ่นเรียกว่า “โคก” จึงเดินทางเข้าพำนักและนำหน่อพระศรีมหาโพธิ์หน่อหนึ่งมาปลูกในบริเวณดังกล่าว เมื่อการก่อสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เสร็จกษัตริย์หรือเจ้าเมืองได้นำไพร่พลเสด็จกลับบ้านเมืองของตัวเอง ในขณะที่หน่อพระศรีมหาโพธิ์ได้เจริญเติบโต ชาวท้องถิ่นจึงเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “บ้านโพธิ์เสด็จ” หมายถึงต้นโพธิ์ของกษัตริย์หรือเจ้าเมืองเสด็จนำมาปลูกเอาไว้ หลังจากนั้นไม่นานก็มีการรสร้างวัดขึ้นเรียกว่า “วัดโพธิ์เสด็จ”มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้บ้านโพธิ์เสด็จและวัดโพธิ์เสด็จยังมีตำนานเกี่ยวข้องกับ “พลายจำเริญ” ช้างเผือกคู่บารมีของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้อีกด้วย
ก่อนที่พระครูโพธิสารประสาธน์ หรือ“พระอาจารย์ชม”จะละสังขารได้เคยเล่าให้ฟังว่าภายในต้นโพธิ์หรือพระศรีมหาโพธิ์ต้นดังกล่าวมีสกูปเจดีย์เล็ก ๆ ที่มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ข้างใน และมีพระพุทธรูปอีกหายองค์ที่มีอายุรุ่นเดียวกับ “หลวงพ่อสมภาร”ประดิษฐานอยู่แต่ในปัจจุบันถูกรากของต้นโพธิ์โอบหุ้มไว้หมดแล้วจนมองไม่เห็นด้านใน และจากการสังเกตและตรวจสอบพบว่าต้นโพธิ์หรือพระศรีมหาโพธิ์ตนดังกล่าวคล้ายกับว่าเป็นต้นโพธิ์หลาย ๆ ต้นมารวมกัน ซึ่งเชื่อว่าเมื่อต้นเดิมที่มีอายุหลายร้อยปีตายไปก็จะมีหน่อใหม่เจริญเติบโตขึ้นมาแทนและโอบอุ้มปกคลุมต้นเดิมไว้เรื่อย ๆ โดยอาจจะผ่านมาแล้ว 4-5 ต้นแล้วก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามวัดโพธิ์เสด็จในอดีตกลายเป็นวัดร้างไปในบางช่วงจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย-กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้มีการฟื้นฟูวัดโพธิ์เสด็จขึ้นมาใหม่ และมีผู้ไปพบพระพุทธรูปที่ถูกรากต้นโพธิ์ห่อหุ้มเอาไว้ จึงอัญเชิญออกมาประดิษฐานข้างนอกเพื่อให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชา โดยไม่มีใครทราบว่าพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวชื่ออะไร แต่ถือว่าในช่วงที่วัดโพธิ์เสด็จเป็นวัดร้างแต่ก็มีพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวประดิษฐานอยู่เปรียบเหมือนเป็นเจ้าอาวาส หรือ “สมภาร” ชาวบ้านจึงเรียกพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวว่า “หลวงพ่อสมภาร”มาจนถึงทุกวันนี้ และถือเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่คู่วัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพรับถือและกราบไห้บูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป และที่ผ่านมาวัดโพธิ์เสด็จเป็นวัดที่ชาวพุทธจังหวัดนครศรีธรรมราชและใกล้เคียงนิยมเดินทางมาร่วมกิจกรรมในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากรองจากวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เช่น วนมาฆบูชา วิสาขบูชา เข้าพรรษา ออกพรรษา ประเพณีลากพระประเพณีให้ทานไฟ เป็นต้น และในช่วงการจัดงานประเพณี “มาฆบูชาแห่ผ้าขึ้นธาตุ” พุทธศาสนิกชนวัดโพธิ์เสด็จจะร่วมแรงร่วมใจกันนำผ้าพระบฏและผ้าสีที่โอบห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชมาประกอบพิธีโอบห่มต้นพระศรีมหาโพธิ์พันปีภายในวัดโพธิ์เสด็จต้นดังกล่าวเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-แปลกแต่จริงต้นโพธิ์อายุกว่า 100 ปีแตกกอเป็นใบเงินใบทอง
-พายุถล่มดุ ! ต้นโพธิ์ยักษ์อายุกว่า 100 ปี ล้มทับร้านค้าพังเสียหายทั้งร้าน ด้านแม่ค้าเผยล้มในช่วงกลางคืน ขณะพายุกระหน่ำโชคดีไม่มีใครอยู่!??
ภาพ/คลิป/ขอมูล เฟซบุ๊ค ไพฑูรย์ อินทศิลา
ยุทธนะ เตมะศิริ สำนักข่าวทีนิวส์นครศรีธรรมราช/รายงาน