- 27 ม.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th
พระอาจารย์สุเมโธ เดิมชื่อ โรเบิร์ต แจ็คแมน อดีตทหารหน่วยเสนารักษ์แห่งกองทัพเรืออเมริกันในสงครามเกาหลี
จบปริญญาโทจาก ม.เบิร์คเลย์ แคลิฟอร์เนีย เคยทำงานเป็นอาสาสมัครสันติภาพ เคยสอนภาษาอังกฤษที่เกาะบอร์เนียว และ ม.ธรรมศาสตร์ ก่อนบรรพชาที่หนองคาย 1 ปี หลังจากนั้นจึงเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์ต่างชาติรูปแรกของหลวงปู่ชา)
"...วันนี้เราจะประชุมเพลิงศพหลวงพ่อ(ชา) แล้ว ศพท่านก็จะกลายเป็นอัฐิ มันเปลี่ยนแปลงไปนะ เมื่อเจ็ดสิบปีที่ผ่านมา ท่านก็เกิดที่บ้านก่อ โตขึ้นบวชเป็นพระ แล้วก็สร้างประโยชน์ สร้างวัดหนองป่าพง มีสาขามาก มีลูกศิษย์มาก ต่อมาก็อาพาธหนัก แล้วก็มรณภาพไป ชีวิตของท่านเป็นประโยชน์แก่ตัวเองและลูกศิษย์ และสัตว์ทั้งหลายในโลก เพราะท่านตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
อาตมาอยู่กับท่านหลายปี เมื่อพวกเราลูกศิษย์ของท่านเกิดความเห็นผิด เบื่อการปฏิบัติ บางทีก็เกิดความสนใจทางโลก ท่านจะบอกว่าต้องดูใจตัวเองว่า เรายึดถืออะไร ทำไมถึงคิดอย่างนี้ทำอย่างนี้
ท่านไม่ได้สอนอย่างเดียว ท่านเองก็ปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ท่านเอาสิ่งที่ประสบในการเป็นอาจารย์ เป็นเจ้าอาวาส มาเป็นธรรมะ เห็นธรรมะในชีวิตประจำวันในทุกสิ่งทุกอย่าง วัดป่าพง(เป็นคำที่หลวงปู่ชาชอบเรียกวัดหนองป่าพง)เสื่อมไปก็เป็นธรรมะ ลูกศิษย์มากก็เป็นธรรมะ ไม่มีลูกศิษย์ก็เป็นธรรมะ ลูกศิษย์ดี ลูกศิษย์ไม่ดี โลกมันเปลี่ยนแปลงอย่างไร ดินฟ้าอากาศเป็นอย่างไร ท่านก็รู้ในสิ่งเหล่านี้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
...ตอนหลวงพ่อไปอังกฤษ อาตมาได้อยู่ใกล้ชิดท่าน จึงได้มีโอกาสเห็นหลวงพ่อต่อสู้กับสิ่งแปลกๆ อย่างไร
เวลาอยู่เมืองไทยท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ ใครๆก็นับถือเคารพอย่างสูง แต่เมื่อไปอยู่เมืองอังกฤษคนไม่รู้จักท่าน ท่านเดินไปบนถนน คนเห็นบางทีเขาก็เยาะเย้ย หัวเราะ เห็นว่าเป็นสิ่งแปลก ทำไมแต่งตัวอย่างนั้น โกนศีรษะ
วันหนึ่งหลวงพ่อและเรากำลังบิณฑบาตในลอนดอน มีนักเลงเป็นเด็กผู้ชายสามสี่คนมาแสดงอาการอยากจะต่อสู้กับพวกเรา
หลวงพ่อเดินข้างหน้า อาตมาเดินตามหลังท่าน ตอนนั้นอาตมาก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี ถ้านักเลงพวกนั้นจะทำร้ายหรือทำไม่ดีแก่หลวงพ่อ
แต่นักเลงทั้งสี่คนนั้น ไม่ทำร้ายแต่แสดงความรังเกียจ เยาะเย้ยแล้วก็หนีไป
เมื่อกลับถึงที่พัก อาตมาก็ถามหลวงพ่อว่ามีความรู้สึกอย่างไร
ท่านพูดว่า โอ้ ดีมากนะ อยู่ที่นี่ก็ได้ผลดีนะ ท่านบอกว่า ไม่เป็นอะไร คนเยาะเย้ยแสดงความรังเกียจต่อท่าน ท่านก็เห็นว่าเป็นธรรมะเท่ากับอยู่ในกรุงเทพฯ ที่มีคนมาเคารพนับถือ
สรรเสริญนินทาทั้งสองนี้มีค่าเท่ากัน ทำให้เกิดปัญญามาก
ถ้ามีแต่สรรเสริญคงจะไม่มีปัญหา ไม่มีความสามารถ ปัญญาจะเจริญ ต้องมีนินทาด้วย
หลวงพ่อไม่กลัวนินทา ไม่กลัวดินฟ้าอากาศที่ต่างกันกับประเทศไทย ไม่กลัวว่าอาหารฝรั่งจะเป็นอย่างไร อยากจะชิม อยากจะทดลองดู อยากจะอดทน ท่านไม่ถือเรื่องวัฒนธรรม ท่านอยากจะรู้สิ่งที่ควรทำในประเทศนั้น อยากจะสนทนาธรรมกับชาวอังกฤษเพื่อจะช่วยสอนได้ เพื่อจะชี้ทางไปถึงทางพ้นทุกข์ได้
ท่านเป็นคนอีสาน ชีวิตของท่านส่วนมากก็อยู่ในอีสาน แต่ท่านไปกรุงเทพฯ ท่านก็กลมกลืนกับชาวกรุงเทพฯได้ ไปอังกฤษก็สอดคล้องกับชาวอังกฤษได้ ไปอเมริกาก็เหมือนกัน เพราะจิตใจท่านไม่ได้เป็นคนอีสาน ไม่ได้เป็นคนไทย จิตใจของท่านบริสุทธิ์ ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่ได้เป็นคน ไม่ได้เป็นผู้ชาย ไม่ได้เป็นชาวพุทธ ไม่ได้เป็นพระ ไม่ได้เป็นอาจารย์ ไม่ได้เป็นเจ้าคุณ มีแต่ความรู้ในปัจจุบัน ไปที่ไหนก็มีแต่เมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย
หลวงพ่อท่านมีความกรุณาอย่างสูง แต่เดี๋ยวนี้ท่านมรณภาพแล้ว เราก็เอาความดี ความบริสุทธิ์ของท่านมาเป็นอาจารย์ที่ไม่เกิดไม่ตาย ถ้าเรารักหลวงพ่อ เราก็ต้องทำตามคำสอนของท่าน
คำสอนนั้นคือธรรมะ เป็นที่พึ่งของเรา จะได้ระลึกถึงอาจารย์เป็นเครื่องเตือนสติในสิ่งที่บกพร่องในชีวิตเราต้องแก้
ต้องทำให้มันดีขึ้น ตั้งใจปฏิบัติด้วยปัญญามากๆ ทิฏฐิมานะที่มีอยู่ เราต้องรู้จักมัน ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นต่อไป ปล่อยวางความคิดความเห็นที่เรายึดถือและให้อยู่แบบเป็นผู้มีปัญญาในปัจจุบัน ให้ตั้งใจปฏิบัติอย่างนี้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นคนไทยก็ดี คนฝรั่งก็ดี ให้ตั้งใจว่าเราจะอยู่เพื่อธรรม เพื่อปฏิบัติธรรมต่อไป
จากหนังสือ สายธรรมแห่งกัลยาณมิตร (หนังสือที่ระลึกครบรอบ ๒๐ ปี มรณภาพของหลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)หน้าที่ ๗๓-๗๖
ภาพโดย คุณ Rutaichanok Sngasaeng