ครั้งเมื่อ ร.9 เสด็จขึ้นดอย ที่ห่างไกล เพื่อไปทอดพระเนตรกาแฟ เพียง 1 ต้น

ธุรกิจกาแฟนในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นที่นิยมมากในภาคต่างๆทั่วประเทศ แถมตอนนี้กาแฟยังถือได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจซึ่งปลูกกันมากตามภาคเหนือของประเทศไทย จนสร้างรายได้ให้เกษตรกรในประเทศได้มหาศาล แต่ใครจะรู้ว่าก่อนที่จะเป็นไร่กาแฟและพืชเศรษฐกินของภาคเหนือนั้น เคยเป็นดงฝิ่นมาก่อน กาแฟพึ่งเริ่มมาปลูกกัน กาแฟเป็นพืชไร่ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงชักชวนให้ชาวเขาบนดอยปลูกทดแทนฝิ่นตามโครงการพระราชดำริที่เรียกว่า “โครงการหลวง” แม้ในช่วงนั้นคนยังไม่นิยมปลูกกาแฟเพราะคิดว่าฝิ่นสร้างรายได้กว่าก็ตาม แม้รัฐบาลจะปราบอย่างจริงจังก็ไม่หมดซักที นั่นคือเหตุผลที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 นำกาแฟเข้าไป เพราะพระองค์ทรงคิดว่า ที่เขาปลูกฝิ่นเพราะเขาไม่รู้จะปลูกอะไรที่สร้างรายได้ให้เขา เราจึงต้องหาวิธีใหม่ที่สร้างรายได้ให้เขาจนไม่คิดจะปลูกฝิ่นอีก และมีเรื่องเล่าประทับใจเรื่องหนึ่งที่ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เล่าให้ฟังผ่านหนังสือว่า

ธุรกิจกาแฟนในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นที่นิยมมากในภาคต่างๆทั่วประเทศ แถมตอนนี้กาแฟยังถือได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจซึ่งปลูกกันมากตามภาคเหนือของประเทศไทย จนสร้างรายได้ให้เกษตรกรในประเทศได้มหาศาล แต่ใครจะรู้ว่าก่อนที่จะเป็นไร่กาแฟและพืชเศรษฐกินของภาคเหนือนั้น เคยเป็นดงฝิ่นมาก่อน กาแฟพึ่งเริ่มมาปลูกกัน กาแฟเป็นพืชไร่ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงชักชวนให้ชาวเขาบนดอยปลูกทดแทนฝิ่นตามโครงการพระราชดำริที่เรียกว่า “โครงการหลวง” แม้ในช่วงนั้นคนยังไม่นิยมปลูกกาแฟเพราะคิดว่าฝิ่นสร้างรายได้กว่าก็ตาม แม้รัฐบาลจะปราบอย่างจริงจังก็ไม่หมดซักที นั่นคือเหตุผลที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 นำกาแฟเข้าไป เพราะพระองค์ทรงคิดว่า ที่เขาปลูกฝิ่นเพราะเขาไม่รู้จะปลูกอะไรที่สร้างรายได้ให้เขา เราจึงต้องหาวิธีใหม่ที่สร้างรายได้ให้เขาจนไม่คิดจะปลูกฝิ่นอีก และมีเรื่องเล่าประทับใจเรื่องหนึ่งที่ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เล่าให้ฟังผ่านหนังสือว่า

 

ครั้งเมื่อ ร.9 เสด็จขึ้นดอย ที่ห่างไกล เพื่อไปทอดพระเนตรกาแฟ เพียง 1 ต้น

 

ครั้งหนึ่งหลังจากที่พระองค์มีพระราชดำริแนะนำชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ให้หันมาปลูกกาแฟ ต่อมาทรงทราบว่าชาวกะเหรี่ยงได้ทดลองปลูกกาแฟแล้ว จึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นเขาเป็นระยะทางถึง 6 กิโลเมตร เพื่อจะทอดพระเนตรไร่กาแฟดังกล่าว ปรากฏว่าเมื่อไปถึง แม้จะไม่มีไร่ฝิ่นแล้ว แต่ทั้งไร่มีก็มีต้นกาแฟอยู่เพียงต้นเดียว

 

ครั้งเมื่อ ร.9 เสด็จขึ้นดอย ที่ห่างไกล เพื่อไปทอดพระเนตรกาแฟ เพียง 1 ต้น

 

พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งตามเสด็จฯ ในครั้งนั้นด้วย รู้สึกโกรธ ม.จ.ภีศเดช รัชนี ผู้อำนวยการโครงการหลวง ที่ทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ให้เสด็จพระราชดำเนินอย่างยากลำบากเพื่อไปทอดพระเนตรกาแฟเพียงต้นเดียว ได้เขียนเล่าว่า

“ตรัสถามว่า เป็นความจริงหรือที่ว่าผมโกรธท่านภีศเดช ผมก็กราบบังคมทูลตามความเป็นจริงว่าเป็นเช่นนั้น พระองค์ท่านตรัสถามต่อไปว่า ผมทราบหรือเปล่า ว่าเมื่อก่อนนี้กะเหรี่ยงที่ดอยอินทนนท์ประกอบอาชีพอะไร ผมก็กราบบังคมทูลว่า ทราบเกล้าว่าฯ กะเหรี่ยงปลูกฝิ่น พระองค์ท่านตรัสต่อไปด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาว่า แต่ก่อนเขาปลูกฝิ่น “เรา” ไปพูดจา ชี้แจง ชักชวนให้เขามาลองปลูกกาแฟแทน กะเหรี่ยงไม่เคยปลูกกาแฟมาก่อนเลย ที่กาแฟไม่ตายเสียหมด แต่ยังเหลือ 1 ต้นนั้น ต้องถือว่าเป็นความก้าวหน้าสำหรับกะเหรี่ยง จึงต้องไปทอดพระเนตร จะได้แนะนำเขาต่อไปว่า ทำอย่างไรกาแฟจึงจะเหลืออยู่มากกว่า 1 ต้น”

 

ครั้งเมื่อ ร.9 เสด็จขึ้นดอย ที่ห่างไกล เพื่อไปทอดพระเนตรกาแฟ เพียง 1 ต้น

 

ปีต่อมา ราษฎรชาวกะเหรี่ยงดอยอินทนนท์ปลูกกาแฟได้ผลผลิตทั้งไร่ บริษัทผลิตกาแฟในกรุงเทพฯ ไปขอซื้อกาแฟ โดยให้ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 1 บาท ปรากฏว่าราษฎรชาวกะเหรี่ยงดอยอินทนนท์ขายกาแฟได้เป็นเงินต่อไร่ต่อปีสูงกว่าที่เคยขายฝิ่นได้หลายสิบเท่า จึงทยอยกันเลิกปลูกฝิ่น ถือว่าได้ผลเกินคาดนอกจากจะกำจัดฝิ่นได้แล้วยังสร้างรายได้ให้กับราษฎรสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อีกด้วย

 

ครั้งเมื่อ ร.9 เสด็จขึ้นดอย ที่ห่างไกล เพื่อไปทอดพระเนตรกาแฟ เพียง 1 ต้น

 

อ้างอิงข้อมูลจาก - หนังสือตามรอยพ่อ