"สธ." เข้ม! เฝ้าระวัง "โรคไข้ซิกา" ส่อระบาดหนัก ไร้ยารักษา - "ไต้หวัน" พบคนไทยติดเชื้อแล้ว !?

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th


กลายเป็นกระแสฮือฮากันทั่วทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ จากกรีณีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไต้หวัน จรวจพบชายชายไทยมีเชื้อไวรัสซิกาที่กำลังระบาดในหลายประเทศ แถบลาตินอเมริกาและทะเลแคริบเบียน


 

ล่าสุดวันนี้ (21 ม.ค. 59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้ประชุมกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อเตรียมมาตรการเฝ้าระวังโรคไข้ซิกา โดยมีศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ที่ปรึกษากรมควบคุมโรค เป็นประธาน พร้อมคณะที่ปรึกษากรมควบคุมโรค ผู้ทรงคุณวุฒิฯ กรมควบคุมโรค คณะแพทย์จากมหาวิทยาลัย กทม. หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


 

เบื้องต้นโรคไข้ซิกาพบครั้งแรกในประเทศเมื่อปี 2555 กระจายทุกภาคมีผู้ป่วยยืนยันเฉลี่ยปีละ 5 ราย สาเหตุเกิดจากโดนยุงลายที่มีเชื้อไวรัสซิกากัด การแพร่ผ่านการถ่ายเลือด จากจากมารดาที่ป่วยสู่ทารกในครรภ์ ปัจจุบันไม่มีวัคซีนป้องกันโรค ไม่มียารักษาเฉพาะ ต้องรักษาไปตามอาการ ทั้งนี้ได้เตรียมการเฝ้าระวังโรค โดยแบ่งเป็น 4 ด้านสำคัญ ดังนี้

 

1. การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา
2. การเฝ้าระวังทางกีฏวิทยา
3. การเฝ้าระวังทารกแรกเกิดที่มีความพิการแต่กำเนิด
4. การเฝ้าระวังกลุ่มอาการทางระบบประสาท      

 


นพ.อำนวย กล่าวแนะนำให้ประชาชนกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และป้องกันไม่ให้ยุงกัด ซึ่งเป็นการป้องกันควบคุมโรคเช่นเดียวกับไข้เลือดออก โดยอาการของโรคนี้จะเกิดอาการเป็นไข้ ผื่น ตาแดง ปวดข้อ ส่วนหญิงตั้งครรภ์อาจทำให้เด็กทารกที่คลอดมามีสมองเล็กหรือมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ แนะนำให้รับประทานยาพาราเซตามอล ห้ามรับประทานยาแอสไพริน หรือยากลุ่มลดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เพราะอาจทำให้เลือดออกในอวัยวะภายในได้ง่ายขึ้น

 


อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เดินทางไปเทศพื้นที่เสี่ยง  ขอให้ระวังและป้องกันไม่ให้ยุงกัด หากมีอาการไข้ ออกผื่น ตาแดง หรือปวดข้อขอให้รีบไปพบแพทย์ ที่คลินิกเวชศาสตร์การท่องเที่ยวและการเดินทาง สถาบันบำราศนราดูร โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และสามารถรับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง 

 

หากประชาชนมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422

ขอบคุณภาพจาก "ผู้จัดการอนไลน์"