- 07 ก.ย. 2559
ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th
วันนี้ ( 7 ก.ย.) ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่ นายคออี้ มีมิ อายุ 105 ปี ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งป่าแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี พร้อมพวก ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านบางกรอยบน ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี รวม 6 คน ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่ากระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในการขับไล่ชาวบ้านบางกรอยออกจากป่าแก่งกระจาน ด้วยการเผาทำลายบ้านและทรัพย์สิน
คดีนี้ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่าที่ดินแปลงที่เกิดเหตุนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่เป็นชุมชนดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยง แต่เป็นที่ดินที่มีการบุกรุกแผ้วถางป่า ในลักษณะการเปิดป่าดงดิบเพื่อให้เป็นที่โล่งสำหรับใช้เพาะปลูกเป็นแปลงใหม่ ซึ่งไม่ใช่แปลงที่ดินทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่ทางราชการจัดสรรให้ทำกิน ดังนั้นการที่ผู้บุกรุกแผ้วถางป่าได้ทำการก่อสร้างเพิงพัก หรือที่อยู่อาศัย หรือยุ้งฉางข้าวบนที่ดินดังกล่าว จึงเป็นการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ นอกจากนั้นยังมีการล่าสัตว์ซึ่งเป็นการทำผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบการกระทำผิดในเขตอุทยานแห่งชาติ จึงทำการเจรจาและกำหนดเวลาให้ทำการรื้อถอนเพิงพักหรือสิ่งปลูกสร้าง และเก็บทรัพย์สินออกจากที่ดินดังกล่าว แต่หลังพ้นกำหนดเวลาเมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเข้าไปสำรวจพื้นที่พบว่ายังคงมีเพิงพักหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของไม่ได้ทำการรื้อถอนออกไป คณะเจ้าหน้าที่ย่อมมีอำนาจที่จะรื้อถอนหรือเผาทำลายได้ และการเผาสิ่งปลูกสร้างก็เพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกนำไปใช้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่ได้อีก จึงถือเป็นการใช้อำนาจโดยชอบของพนักงานและเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และไม่อาจถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด
สำหรับสิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือนและสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวที่อยู่ในเพิงพักและถูกเผาไปนั้น เนื่องจากเป็นสิ่งของจำเป็น และไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายหรือสิ่งต้องห้ามตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 แต่การที่เจ้าหน้าที่ทำการเผาเพิงพัก โดยไม่เก็บรวบรวมทรัพย์สินดังกล่าวออกมารักษาไว้เพื่อประกาศให้เจ้าของมารับคืนในภายหลังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 โดยศาลได้กำหนดค่าสินไหมในส่วนของเครื่องใช้ในครัวเรือน 5,000 บาท และค่าสินไหมในส่วนของเครื่องใช้ส่วนตัว 5,000 บาท ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 เป็นเงินคนละ 10,000 บาท ภายใน 30 วันที่คดีถึงที่สุด
ด้านปู่คออี้ ได้กล่าวหลังจากทนายความได้อ่านคำพิพากษาและมีลูกหลานชาวกะเหรี่ยงแปลให้ฟัง สรุปได้ว่า " เราอยู่ที่นั่นมานาน ให้ฉันสาบานยังไงก็ได้ ฉันลืมตามาก็เห็นป่าตรงนั้น นํ้านมหยดแรกฉันก็ดื่มกินตรงนั้น ถ้าศาลไม่ให้ฉันกลับไปบนนั้น ฉันก็เชื่อฟัง แต่เวลาเอาฉันลงมา จับขึ้นเฮลิคอปเตอร์เอาลงมา ไม่เห็นมีใครถามฉันสักคําว่าฉันอยากลงมาไหม พอเวลาฉันอยากกลับบ้านที่ฉันเกิดข้างบน ฉันต้องขออนุญาตใครมากมายและยังไม่ยอมให้ฉันกลับบ้านฉันอีก"
ภาพจากเฟสบุ๊ค พฤ โอโดเชา