- 17 ก.ย. 2560
ไม่อยากปวดท้องต้องดู!!! 7 พืชผักพื้นบ้านสมุนไพร มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาโรคกระเพาะ ของดีที่อยู่ใกล้ตัวคุณ รู้แล้วรีบแชร์ด่วน
โรคกระเพาะเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง เกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยทำงานที่อาจรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หรือมีความเครียดจากการทำงานจนส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารแผลงฤทธิ์จนเกิดอาการของโรคกระเพาะอาหารขึ้นได้ อาการของโรคกระเพาะมักมีอาการปวดแสบ ปวดตื้อ จุกเสียดหรือจุกแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ อาการปวดเหล่านี้เป็นได้ทั้งเวลาก่อนรับประทานอาหารหรือหลังรับประทานอาหารใหม่ๆและเวลาท้องว่าง เช่น เวลาหิวข้าว ตอนเช้ามืดหรือตอนดึกๆก็ปวดท้องได้เช่นกัน อาการปวดจะเป็นๆหายๆ เป็นได้วันละหลายๆครั้ง หรือตามมื้ออาหาร และแต่ละครั้งที่ปวดจะนานประมาณ 15 – 30 นาที อาการปวดจะบรรเทาลงได้ถ้ารับประทานอาหาร ดื่มนมหรือรับประทานยาลดกรด นอกเหนือจากการกินยาเพื่อบรรเทาอาการแล้ว ยังมีพืชผักพ้นบ้านเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้เช่นกัน ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. ขมิ้นชัน
น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นชันมีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นจุกเสียด ขับลม จึงนิยมนำขมิ้นมาใช้สมานแผลในกระเพาะอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ รักษาโรคกระเพาะอาหาร โดยคนที่ซื้อขมิ้นชันแบบผงมารับประทานเอง ให้ใช้ขมิ้นชันผง 1 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว (ไม่เต็ม) แล้วรับประทาน ขมิ้นชันที่ไหลผ่านอวัยวะภายในต่าง ๆ สามารถบำรุงอวัยวะส่วนนั้นได้ด้วย คือ ผ่านลำคอ จะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ลำคอ, ผ่านปอดจะช่วยดูแลปอดให้หายใจได้ดีขึ้น, ผ่านม้ามจะช่วยลดไขมัน ไม่ให้น้ำเหลืองเสีย, ผ่านกระเพาะอาหารจะช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร, ผ่านลำไส้จะช่วยสมานแผลในลำไส้ และผ่านตับก็จะช่วยบำรุงตับ ล้างไขมันในตับ
2. ว่านหางจระเข้
วุ้นของว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ดี โดยวิธีใช้ให้เลือกใช้ใบล่างสุดของต้นก่อน นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออก ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะอาจระคายเคืองผิวหนังและทำให้มีอาการแพ้ได้ จากนั้นขูดเอาวุ้นใสมารับประทานวันละ 2 ครั้ง
3. กระเจี๊ยบเขียว
สรรพคุณของกระเจี๊ยบเขียว คือเป็นสมุนไพรช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ ในปี 2547 มีงานวิจัยที่พบว่า สารประกอบไกลโคไซเลต (Glycosylated compounds) ซึ่งประกอบด้วยโพลีแซกคาไรด์ (Polysaccharides) และไกลโคโปรตีน (Glycoproteins) ในกระเจี๊ยบเขียว มีฤทธิ์ยับยั้งความสามารถของเชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลริ (Helicobacter pylori) ในการเกาะเยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ซึ่งแบคทีเรียตัวนี้เองที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร แต่สารไกลโคไซเลต จะมีฤทธิ์ลดลงเมื่อถูกความร้อน ดังนั้นตำรับยาสำหรับรักษาโรคกระเพาะจึงให้ใช้ฝักอ่อนกระเจี๊ยบเขียวหั่นตากแดด บดให้ละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ โดยนำมาละลายในน้ำ นม น้ำผลไม้ หรืออาหารอ่อน ๆ กินวันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร (เวลาละลายจะได้น้ำยาเหนียว ๆ)
4. หัวปลี
หัวปลีไม่ได้เป็นแค่สมุนไพรบำรุงน้ำนมของแม่ลูกอ่อนเท่านั้น แต่ยางจากหัวปลียังมีฤทธิ์ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วย โดยวิธีใช้ให้นำปลีกล้วยน้าว้ามาเผา แล้วบีบเอาแต่น้ำ กะให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว ดื่มก่อนอาหาร รสชาติอาจจะกินยากแต่โบราณบอกว่า ถ้ากินติดต่อกันได้ 3 วันอาการของโรคกระเพาะอาหารอาจหายขาด
5. มะขามป้อม
มะขามป้อมมีรสเปรี้ยว ฝาด ขม รสชาติคล้ายสมอไทย โดยมะขามป้อมมีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดกรดเกินในกระเพาะอาหาร และบำรุงอวัยวะในร่างกายได้หลายส่วนรวมทั้งกระเพาะอาหารด้วย ซึ่งวิธีกินมะขามป้อมรักษาโรคกระเพาะให้กินผงลูกมะขามป้อมวันละ 4 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ช้อนชา ก่อนอาหารและก่อนนอน
6. ลูกยอ
ลูกยอมีฤทธิ์ขม โดยสรรพคุณเด่นช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อนได้ดี ทว่าผลจากการใช้ลูกยอรักษาโรคกรดไหลย้อนยังดีต่อกระเพาะอาหารด้วย เนื่องจากสารในลูกยอจะช่วยเร่งการสมานแผลของกระเพาะอาหาร ทั้งยังช่วยลดการอักเสบเฉียบพลันของกระเพาะอาหารเนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์อีกด้วย
7. กล้วย
ในเนื้อและเปลือกกล้วยมีเซโรโทนิน เป็นสารที่มีผลยับยั้งการหลั่งของน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร และกระตุ้นให้ลำไส้เล็กบีบตัวมากขึ้น จึงช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยวิธีใช้ก็แค่นำกล้วยน้ำว้าดิบที่แก่จัดทั้งลูก (ทั้งเปลือก) นำมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วหั่นขวางลูกเป็นชิ้นบาง ๆ เหมือนหั่นแตงกวาใส่ข้าวผัด เสร็จแล้วนำไปเกลี่ยใส่ถาด อย่าให้ชิ้นกล้วยซ้อนกันมากนัก ตากแดดจัด ๆ สักสามแดด แล้วจึงนำมาใส่ครกตำให้ละเอียด โดยนำมาตำในขณะเก็บจากแดดใหม่ ๆ เพราะกล้วยยังกรอบอยู่จะทำให้ตำละเอียดง่าย จากนั้นเก็บใส่ขวดปากกว้างที่มีฝาปิดได้สนิท ใช้ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำค่อนแก้วกินหลังอาหารทุกมื้อ ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้น
ขอบคุณข้อมูล kapook