กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ"ดิน" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)

กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ"ดิน" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)

เรื่องที่จะได้พูดถึงต่อไปนี้ ดูคล้ายเป็นเรื่องพิลึก? แต่มันกลายเป็นเรื่องของ"ความเป็นจริง" จากหลักฐานที่ปรากฏให้เห็น ซึ่งนั่นก็คือเรื่องของการ"กินดิน"! จริงแล้ว"ดิน"กินได้จริงรึ? ตามมาดูประวัติและความเป็นมาของ"ดิน"ที่ว่านั้นกันเถอะ  

"ดิน"เป็นชื่อธาตุอย่างหนึ่งในธาตุทั้ง 4 ที่เป็นองค์ประกอบของ"โลก"อันเป็นส่วนหนึ่งแห่งสกลจักรวาล ที่ประกอบไปด้วย ดิน นำ้ ลม ไฟ ซึ่งธาตุแต่ละอย่างต่างก็ให้ทั้งคุณและโทษแก่มนุษยชาติได้คล้ายกันหมด 

สำหรับ"ดิน"ที่จะพูดถึงนี้เป็นส่วนหนึ่งของธาตุดินที่เกิดขึ้นเฉพาะที่บางแห่งเท่านั้น

"ดินลิ่ม"ตามบันทึกจากคำบอกเล่าของบรรพชนโบราณมีว่า ดินชนิดนี้"ดินลิ่ม"เป็นคำที่ใช้เรียกชื่อดินชนิดหนึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองของชนชาวภาคใต้ของประเทศไทย นัยว่าได้มีการนำเอามันมาใช้เป็นอาหารประเภท"อาหารว่าง"ประเภทขบเคี้ยวเป็นที่นิยมกับมาแต่บรรพกาล  

"ดินลิ่ม"ชื่อเรียกขานของดินที่ว่านี้ก็คงจะเรียกตามลักษณะของดินที่ได้จัดทำขึ้น เนื่องจากไม่สามารถสรรหาชื่อที่มีความเหมาะสมต่อคุณลักษณะของดินนั้นได้ 

กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ\"ดิน\" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)

เกี่ยวกับแหล่งที่มาของ"ดินลิ่ม" จากบันทึกระบุไว้ว่า...มีอยู่เพียงแห่งเดียวในจังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคใต้ของประเทศไทย และก็นับเป็นเรื่องยากในการที่จะเสาะหาดินชนิดนี้มาได้แต่ก็มีผู้ค้นพบมันในบริเวณพื้นดินที่ใช้ในการทำนาข้าว(บางแห่ง)วิธีการสรรหาไม่จำเป็นที่จะค้องใช้หลักวิชาการทางธรณีวิทยาแต่อย่างใด เพียงแต่อาศัยความชำนาญจากผู้ที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องดินนี้มาก่อน ด้วยการขุดดินที่คาดว่าจะเป็นดินชนิดที่ต้องการด้วยการ"ดมและชิม"ดู  

สำหรับ"รสชาติ"ของดินที่ว่านั้น ตามธรรมชาติแล้วจะมีความเค็มอยู่ในตัวของมัน จึงได้มีการขุดนำเอาดินแหล่งนั้นไปทำการผลิตให้เป็น"ดินลิ่ม"กรรมวิธี ก็คือการนำเอาดินนั้นมาตำหรือบดให้เป็นผงละเอียดใช้"แร่ง"ร่อนเอาสิ่งที่ไม่ต้องการออก จากนั้นจึงเติมนำ้สุก(นำ้ต้ม)คลุกเคล้าให้เข้ากันด้วยการนวดด้วยมือ และทดลองชิมดู หากรสชาติไม่เป็นที่พึงใจก็จะมีการนำเอา"เกลือ"ผสมลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ คลุกเคล้าและนวดต่อไปจนกลมกลืนได้ที่ แล้วจึงนำเอาดินนี้นไปอัดกรอบไม้ที่ทำเป็นแผงยาวกว้างประมาณ 1 - 2เซ็นต์ ตัดให้มีความยาวประมาณ 5-6 เซ็นต์ แล้วจึงนำไปผึ่งแดดให้แห้งแต่ในที่บางแห่งใช้วิธีการไล่ความร้อนด้วยวิธีการขุดหลุมก่อไฟด้วยไม้ท่อนให้เป็นถ่านไม่มีควัน แล้วนำดินที่ว่านั้น จัดใส่ไม้ตับ หรือวางบนวัสดุอืน "ย่าง"ให้สะเด็ดน้ำ ประมาณพอดินสุก ซึ่งไม่ถึงกับไหม้หรือสุกเช่นเครื่องปั้นดินเผา 

กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ\"ดิน\" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)

เกี่ยวกับส่วนผสมโดยเฉพาะในเรื่องของ"รสชาติ"และกรรมวิธีการผลิตที่ไม่มีสูตรหรือหลักการที่แน่นอน
ซึ่งบางแห่ง ในส่วนผสมของ"ดินลิ่ม"จะมีการนำเอากระทิและผงชูรสผสมลงไปด้วย กรรมวิธีการผลิตก็แตกต่างกันออกไป คือ มีการเก็บเอาดินนั้นมาทุบหรือตีผสมน้ำสุกแล้วทำเป็นก้อนหรือแท่งสี่เหลี่ยม จากนั้นจึงใช้ความบางคมของไม้ไผ่ ขูดดินนั้นออกมาม้วนกลม แล้วนำไปอบควันในหม้อดินเผาขนาดใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ\"ดิน\" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)

สำหรับ"รสชาติ"นั้น (ผู้เขียนยังไม่เคยชิม) แต่กล่าวกันว่ารสชาติของมันคล้าย"ครีม"คือมีความหวานมันเค็มรวมอยู่ด้วยกัน ส่วนเรื่องของ"สรรพคุณ"ก็ยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัด เพียงแต่คำกล่าวที่ว่า สบายท้อง หญิงมีครรภ์กินแล้วเด็กที่เกิดมาจะมีผิวพรรณสดใส 


เกี่ยวกับเรื่องของ"ดินลิ่ม"นี้นั้นได้มีผู้ตั้งข้อสงสัยไว้ว่าจะเป็นดินชนิดเดียวกันกับ"ดินโป่ง"ที่บรรดาสัตว์ใช้เป็นอาหารเสริมสุขภาพนั้น เท็จจริงเป็นอย่างไร?....

กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ\"ดิน\" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)
 

คำอธิบาย
"ดินโป่ง" เป็นดินที่มีรสเค็มเกิดจากแร่บางชนิดโดยธรรมชาติ ประกอบไปด้วย โซเดียม แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส และสังกะสี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นและต้องการของกระดูกและกล้ามเนื้อของสรรพสัตว์

กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ\"ดิน\" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)

พบได้ใน ป่าเบ็ญจพรรณ ป่าเต็งรัง และในป่าดงดิบ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

1.โป่งดิน-โป่งแห้ง  มักจะเป็นเนินหรือหย่อมดิน ที่มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ อยู่ลึกลงไปประมาณ 1 เมตร

2.โป่งนำ้-โป่งเปียก  มักจะเป็นแหล่งของต้นนำ้ซึม นำ้ซับ ที่ไหลออกมาจากภูเขาหินปูน และน้ำนั้นจะถูกกักเก็บไว้ตลอดทั้งปี

สรุปแล้ว...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับ"ดินลิ่ม"ที่ได้กล่าวถึงแต่เบื้องต้น 

กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ\"ดิน\" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)

อย่างไรก็ตาม "ดินลิ่ม"หรือดินที่กินได้นั้น หาใช่มีอยู่แต่เฉพาะในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
ในประเทศอินโดนิเซีย ก็มีดินประเภทเดียวกันกับ"ดินลิ่ม"ของประเทศไทย และก็ยังใช้เป็นอาหาร(ประเภทของขบเคี้ยว) เชื่อกันว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ มีกันมานานแต่บรรพกาลสมัย ปัจจุบันยังมีปรากฏอยู่ ณ เมือง ตูบัน (Tuban) เป็นแหล่งผลิตขนมที่มีชื่อ"แอมโป"(Ampo)ขนมภูมิปัญญาชนท้องถิ่นชั้นเลิศของอินโดนิเซีย ที่ผลิตมาจากดินธรรมชาติล้วนๆจากดินในผืนนาข้าว

กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ\"ดิน\" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)

ซึ่งก็นับเป็นเรื่องที่"เหลือเชื่อ"จากข้อสงสัยว่า"ดิน"นั้นกินได้จริงและมีประวัติความเป็นมาอย่างไรแต่ในอดีต?
คำยืนยันในเรืองนี้"ดิน"กินได้...แม้จะเป็นเรื่องของตำนานและหรือคัมภีร์ก็ตาม...มันก็ยังเป็นเรื่องที่"พอจะ"เชื่อถือกันได้! จากคัมภีร์"การกำเนิด"มนุษยชาติของโลก ตามศาสนาพราหมณ์ ที่ได้มีการบันทึกเกี่ยวกับเรื่องของ"ดินกินได้"ไว้ดังนี้

กาลนั้น...เมื่อครั้งโลกถึงกาลวิบัติต้องแตกสายไปตามเวลาที่พระอิศวรกำหนดไว้
ซึ่งได้ตั้งกองบัญชาอยู่ ณ ศิวาลัยไกรลาส ได้มีบัญชาสั่งให้เกิดไฟบัลลัยกัลป์ขึ้นในโลกมนุษย์ เผาผลาญชีวิตชาวโลก(ราหู)และสรรพสิ่งมีชีวิตไปจนหมดสิ้น จากนั้นก็ปรากฏว่าได้มัฝนตกลงมาดับความรุ่มร้อนของพื้นแผ่นดิน ซึ่งเมื่อความร้อนที่ดินอุ้มไว้กระทบกับความเย็นของน้ำฝน  อุปมาเหมือนกระแสไฟฟ้าบวกปะทะกับกระแสไฟฟ้าลบ พื้นแผ่นดินนั้นจึงบังเกิดไอระเหยส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว ขจรกระจายขึ้นไปถึงยังสวรรค์ชั้นฟ้าอันเป็นที่สิงสถิตย์ของบรรดาเทวดานางฟ้าทั้งลาย โดยต่างก็หาสาเหตุที่มาของกลิ่นหอมนั้นไม่พบ จึงชวนกัน(เทวดา)เหาะลงมายังโลกมนุษย์ก็พบว่าสิ่งที่ส่งกลิ่นหอมนั้นเกิดจากพื้นดิน จึงแงะออกมาดมดูให้เป็นที่ประจักษ์อีกทั้งยังลองชิมดู 

ปรากฏว่าดินนั้นทั้งมีกลินหอมและรสชาติที่ชวนกินยิ่ง จึงพากันเหาะกลับสู่สวรรค์ และได้ชักชวนเอานางฟ้า(แฟน)ของแต่ละเทวดาเหาะลงมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง หลังจากที่ได้ทดลองกินกันจนเป็นที่หนำใจแล้ว ก็คิดอยากที่จะรำเอาดินนั้นกลับไปฝากเพื่อนเทวดาด้วยกันบนสวรรค์ แต่ปรากฏว่าดินนั้นกลายเป็นดินที่มีนำ้หนักถ่วงเทวดา-นางฟ้า ไม่สามารถเหาะกลับสู่สวรรค์ได้ ฤทธิ์เดชที่เคยมีอยู่ก็พลอยอันตธานหายไปด้วย จึงต้องตกค้างและมีการสมสู่ระหว่างกันออกลูกออกหลานเป็นมนุษย์แพร่กระจายเต็มไปทั่วโลก(ตำนานการกำเนิดของมนุษย์)   

กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ\"ดิน\" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)

ในส่วนของประเทศไทย ก็ได้มีการบันทึกเกี่ยวกับเรื่องของ"ดิน"ที่กินได้ไว้เช่นกัน ในวรรณกรรมของ"สุนทรภู่"เรื่อง"พระอภัยมณี" ตอนนางละเวงได้รับการเสริมเสน่ห์โดยมิตั้งใจ จากการที่ได้เดินหลงทางไปพบกับ"ดิน"นั้นโดยบังเอิญ.....
พอได้ยินเสียงลั่นเสียงครั่นครื้น
สะเทือนพื้นภูผาป่าระหง
ประเดี๋ยวหนึ่งถึงสะดุ้งดังผลุงลา
กลิ้งอยู่ตรงหน้าเท่านำ้เต้าทอง

นางจึงชิมดูรู้ว่าโอชารส
เหลือกำหนดให้มนุษย์สุดแสวง
ทั้งหอมหวานซ่านเสียวมีเรี่ยวแรง
ที่คอแห้งหิวหายสบายมาน.
โดยดินที่นางละเวงพบนั้นมีชื่อเรียกต่างไปว่า"ดินถนัน" หรือ "ถันสุธา" 

สรุปแล้วเรื่องของ"ดินลิ่ม" หรือ"ดินกินได้"ไม่ใช่เรื่องแปลกและก็มีประวัติความเป็นมาที่พอจะเชื่อถือได้ แม้ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นทางการด้วยเรื่องของโภชนาการ"คุณค่า"ในอาหาร แต่ก็ได้ถือเอาว่า "ดินลิ่ม"เป็นของว่างประเภทขบเคี้ยวชนิดหนึ่ง ที่สามารถทำประโยชน์ได้ทั้งทางด้านโภชนาการและในเชิงอุตสาหกรรม .

กินดิน เป็นของว่าง??? ย้อนประวัติและความเป็นมาของ\"ดิน\" การกินเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่แค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องจริง!! (รายละเอียด)


ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ..และขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย,ข้อความบางตอน วรยา รสแก้ว ,และข้อมูลเพิ่มเติม(บางส่วน)จาก :อินเตอร์เน็ตค่ะ
เรียบเรียงโดย:พัชรพิศุทธิ์ โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์