พลังแห่งความเอาตัวรอด!! หมอเวรอธิบายชัดมนุษย์ขาดอาหารได้แค่ไหน แม้ไม่ได้กินอะไรนาน 7 วันยังอยู่ได้ บอกไว้ใจชื้น !!

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

วันนี้(28 มิ.ย. 61) ในเพจ "บิ๊กเกรียน" ได้นำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เราสามารถขาดอาหารได้กี่วัน ซึ่งเพจ "หมอเวร" ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจน โดยมีการฟันธงว่า แม้ไม่ได้กินอะไรนาน 7 วันยังอยู่ได้ แต่ถ้าเกินกว่านั้นจะเป็นอันตราย โดยมีการระบุว่า "น้องๆ ทีมหมูป่ามีเปอร์เซ็นต์ที่รอดค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียว เพราะมนุษย์เรามีพลังแห่งความเอาตัวรอดสูงมากอยู่แล้วในยามคับขัน ขนาดอยู่ในซากตึกถล่ม 7 วันแบบไม่มีน้ำกินยังรอดกันมาได้เลย  แต่นี่น้องๆ ของเรายังมีน้ำดื่มที่ยังไหลมาจากทั้งทางพื้น และทางช่องลมด้านบนของถ้ำ (ที่มาแบบเป็นหยดๆ) ตามฝนที่ตกตลอดทั้งวัน ฉะนั้นไม่น่าเป็นห่วงเรื่องการขาดน้ำเท่าไหร่ บอกเอาไว้ให้ใจชื้นกันก่อน

  
 ส่วนประเด็นเรื่องการขาดอาหารและต้องเผชิญกับความมืดนั้น หมอจะขอเล่าเป็นราย 12 ชั่วโมงไปแล้วกัน ยาวหน่อยแต่อยากให้อ่านกันนะ

 

พลังแห่งความเอาตัวรอด!! หมอเวรอธิบายชัดมนุษย์ขาดอาหารได้แค่ไหน แม้ไม่ได้กินอะไรนาน 7 วันยังอยู่ได้ บอกไว้ใจชื้น !!

 

12 ชั่วโมง

ใน 3-4 ชม.แรก ร่างกายจะดึงพลังงานจากอาหารมื้อล่าสุดที่กิน เพื่อเอามาใช้งานก่อน หลังจากนั้นถ้าพลังงานตรงนี้หมด จะไปดึงพลังงานส่วนไกลโคเจนมาใช้แทน (ให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือดึงพลังงานจากคาร์บที่อยู่ในกระแสเลือดมาใช้นี่แหละ) ตอนนี้ถือว่ายังชิวๆ ยังสบายๆ อยู่

 

พลังแห่งความเอาตัวรอด!! หมอเวรอธิบายชัดมนุษย์ขาดอาหารได้แค่ไหน แม้ไม่ได้กินอะไรนาน 7 วันยังอยู่ได้ บอกไว้ใจชื้น !!

 

 24 ชั่วโมง

พอครบ 24 ชม. ร่างกายจะเริ่ม โหยๆ เพลียๆ นิดหน่อย ท้องจะเริ่มส่งเสียงร้องระงมว่าต้องการอาหาร ระดับโซเดียมในเลือดสูงขึ้น ความดันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย พอไกลโคเจนในเลือดหมดแล้ว คิวต่อไปที่ร่างกายจะดึงพลังงานมาใช้ก็คือกลูโคสหรือน้ำตาลส่วนที่เล็กที่สุดในร่างกายนั่นเอง หลักๆ จะดึงกลูโคสไปใช้งานกับสมองก่อน เพราะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด 

 

 

พลังแห่งความเอาตัวรอด!! หมอเวรอธิบายชัดมนุษย์ขาดอาหารได้แค่ไหน แม้ไม่ได้กินอะไรนาน 7 วันยังอยู่ได้ บอกไว้ใจชื้น !!

 

36 ชั่วโมง

ตอนนี้ระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดลดลง อันนี้ลดลงเป็นปกติ เพราะว่าไม่มีสารอาหารประเภทคาร์บหรือไขมันตกถึงท้องเลย ถ้ากลูโคสหมด ร่างกายจะดึงโปรตีนมาใช้ต่อ หรือถ้าไม่พอก็จะเริ่มดึงเริ่มดึงไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังมาใช้เผาแทนแล้วล่ะ ผิวหนังจะเริ่มซีดลง ลิ้นแห้งและอาจมีตุ่มเล็กๆ ขึ้นบริเวณลิ้น เริ่มมีกลิ่นปากที่รุนแรงขึ้น เพราะของเสียจากการเผาไขมันจำพวกคีโตนทำให้มีกลิ่นที่รุนแรง

 

พลังแห่งความเอาตัวรอด!! หมอเวรอธิบายชัดมนุษย์ขาดอาหารได้แค่ไหน แม้ไม่ได้กินอะไรนาน 7 วันยังอยู่ได้ บอกไว้ใจชื้น !!

 

48 ชั่วโมง

ครบสองวัน ตรงนี้ตาจะเริ่มอ่อนแรง อาจมีอาการแทรกเช่นการปวดหัว หรือรู้สึกว่าการขยับร่างกายไปมามันหนักมาก (ไม่มีแรงนั่นแหละ พูดง่ายๆ) ร่างกายจะขุดไขมันสะสมมาใช้อย่างจริงจัง ปกติไขมันสำรองของคนทั่วไป มักจะสามารถถูกเอามาเผาผลาญเป็นพลังงานต่อไปได้อีกอย่างน้อย 60-80 ชม. ใครที่มีน้ำหนักตัวเยอะ หรือมีไขมันสะสมเยอะก็จะอยู่ได้นานขึ้น

 

พลังแห่งความเอาตัวรอด!! หมอเวรอธิบายชัดมนุษย์ขาดอาหารได้แค่ไหน แม้ไม่ได้กินอะไรนาน 7 วันยังอยู่ได้ บอกไว้ใจชื้น !!

 

 60 ชั่วโมง

เข้าวันที่สาม ความหิวเราจะลดลงอย่างน่าแปลกใจ ตอนนี้ร่างกายจะเริ่มดึงทั้งไขมันและดึงกล้ามเนื้อมาเผาผลาญพลังงานอย่างเต็มที่ เป็นจังหวะที่ร่างกายเราจะเริ่มปรับตัวได้แล้ว ถ้ายังมีน้ำกินอยู่ ตอนนี้จะรู้สึกตัวเบาๆ หน่อย และค่อนข้าง Active เป็นพิเศษได้อีกหลายวันหน่อย มันเป็นกลไกธรรมชาติเหมือนสั่งให้เราห้ามตาย และพยายามลุกออกไปไปหาอาหารมาเติมลงกระเพาะให้ได้

 

พลังแห่งความเอาตัวรอด!! หมอเวรอธิบายชัดมนุษย์ขาดอาหารได้แค่ไหน แม้ไม่ได้กินอะไรนาน 7 วันยังอยู่ได้ บอกไว้ใจชื้น !!

 


72 ชั่วโมง

อย่างที่บอกว่าร่างกายเราจะยังค่อนข้างตัวเบาๆ โหวงๆ อยู่ อาจจะมีวูบๆ บ้างเวลาลุกเร็วๆ เพราะน้ำตาลในเลือดเราลดลงอย่างฮวบฮาบ รวมถึงดึงไขมันและกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงานแทน

พลังแห่งความเอาตัวรอด!! หมอเวรอธิบายชัดมนุษย์ขาดอาหารได้แค่ไหน แม้ไม่ได้กินอะไรนาน 7 วันยังอยู่ได้ บอกไว้ใจชื้น !!

 

90 ชั่วโมง ขึ้นไป

ตรงนี้เริ่มน่าเป็นห่วงเล็กน้อย เพราะปกติแล้วเราจะกินคาร์โบไฮเดรตจากอาหารต่างๆ  แต่พอเราขาดคาร์บจากการกิน ร่างกายเราเลยไปทำปฎิกิริยากับโปรตีนและไขมันในเส้นเลือด ทำให้เลือดในร่างกายเริ่มค่อยๆ เสียไปเรื่อยๆ ทีละน้อยๆ  ส่วนการดำรงชีพก็ยังคงดึงชั้นไขมันมาใช้ได้อยู่เหมือนเดิมอย่างที่บอก

 

 

พลังแห่งความเอาตัวรอด!! หมอเวรอธิบายชัดมนุษย์ขาดอาหารได้แค่ไหน แม้ไม่ได้กินอะไรนาน 7 วันยังอยู่ได้ บอกไว้ใจชื้น !!

 

สรุป

จุดวิกฤตคือประมาณ 7-10 วัน ตอนนี้แหละ ร่างกายเคย Active หรือกระปรี้กระเปร่า ก็จะเริ่มหมดเรี่ยวแรงไม่สามารถขยับไปไหนได้แล้ว อวัยวะภายในตับไตเริ่มพังทีละส่วน เนื่องจากเลือดเป็นพิษอย่างที่บอก ถ้าเลือดเป็นพิษถึงระดับ 30% ของเลือดในร่างกายทั้งหมดก็จะเป็นจุดที่อันตรายที่สุดแล้ว เพราะทำให้มีสารพิษวิ่งเข้าสู่สมองได้ นับว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากของจริง
 

แต่ช้าก่อน !!

อย่าเพิ่งวิตกกังวลขนาดนั้น มาดูข้อดีของการที่น้องๆ ติดอยู่ในถ้ำที่มืดสุดๆ มืดแบบแทบจะไม่มีแสงส่องผ่านเลย คืองี้ปกติเวลาที่คนติดอยู่ในที่มืดเป็นเวลานานเนี่ย ร่างกายเราจะรู้สึกหลอนๆ และผวาตลอดเวลา สาเหตุเพราะไม่รู้วันเวลาไม่มีแสงเพื่อบอกว่านี่เช้าแล้ว หรือนี่มืดแล้ว ประสาทสัมผัสจะเริ่มแปรปรวนอาจทำให้เสียสติได้ง่าย 

 
แต่การที่น้องๆ อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ อาการเหล่านี้แทบจะไม่เกิดขึ้นเลย หรือหากเกิดขึ้นก็จะมีกำลังใจจากเพื่อนๆ รอบข้างคอยช่วยเหลือและปลอบใจกัน ทำให้ความเครียดสะสมลดลง และสามารถผ่านพ้นอาการทางจิตไปได้แบบสบายๆ แต่จะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสติของแต่ละคนนะ
 


และหากร่างกายเราอยู่ในสภาวะนี้ไปซักระยะใหญ่ และร่างกายเราจะเริ่มปรับตัวคล้ายๆ สัตว์ที่จำศีล และหากน้องๆ สามารถนอนหลับได้ การไม่รับรู้ถึงแสงสว่างภายนอกอาจจะทำให้วงจรการนอนหลับเปลี่ยนไป น้องอาจนอนหลับแบบรวดเดียวสองวันสองคืนได้เลย โดยไม่มีแสงมาเป็นตัวกระตุ้นบอกเวลาว่านี่เป็นวันใหม่แล้ว ขอให้รู้ไว้เลยว่าแสงมีอิทธิพลกับสมองเราเยอะมาก สังเกตได้จากเวลามีสุริยุปราคาแล้วสัตว์บินกลับรัง มนุษย์เราก็เช่นกัน หากไร้นาฬิกาหรือเครื่องบอกเวลา ยามอยู่ที่มืดนานๆ ร่างกายเราก็บอกให้ตัวเองเน้นพักผ่อนมากกว่าทำงาน ฉะนั้นระดับการเผาผลาญพลังงานจะยิ่งลดลงกว่าเดิมเข้าไปอีก มีพลังงานสำรองเหลือเฟือให้ใช้อีกหลายวัน
 

ขนาดตึกถล่มคนติดในนั้นซากตึกนานตั้งเป็นสัปดาห์ยังรอดมาได้เลย ยิ่งน้องๆ เป็นนักกีฬาที่แข็งแรงและไม่ได้บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยอะไรด้วยแล้ว การมีน้ำสะอาดกินได้และยังเกาะกลุ่มกันอยู่ โอกาสรอดหมอว่าน่าจะมีสูงเกิน 80-90% เลยแหละเคสนี้ ยังไงน้องๆ ก็ต้องรอด หมอเชื่ออย่างนั้นนะ

 

 

ข้อมูลและภาพจาก : หมอเวร , บิ๊กเกรียน