- 27 ก.ย. 2561
สวนกระแส! "ทนายเกิดผล" เห็นต่างจำคุก "ลุงวิศวะ" 10 ปี?
จากกรณี นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ หรือ ลุงวิศวะที่ก่อเหตุคว้าปืนยิงใส่รถตู้ของกลุ่มวัยรุ่น บริเวณอ่างศิลา ถนนสายอ่างศิลา-สุขุมวิท ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เดินทางมาศาลจังหวัดชลบุรี เพื่อฟังคำพิพากษา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2941/2560 ที่พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี และนางสาวมณีพร ผึ่งพาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับอนุญาต
โดย กรณีที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายนวพล ผึ่งผาย หรือ ปอนด์ ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานพกพาอาวุธปืน ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับอนุญาต แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง ส่วนปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า เหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากพวกของผู้ตายซึ่งเป็นคนขับรถตู้ และรถยนต์ จอดรถที่หน้าร้านขายของฝากกีดขวางทางออกของจำเลย ทำให้มีปากเสียงกันแต่เหตุวิวาทจบลงไปภายหลังจากที่พวกของผู้ตายขับรถตู้ และรถยนต์ ออกไปโดยมิได้ท้าทายจำเลยอีก
หากจำเลยมีสติรู้จักยับยั้งชั่งใจจอดรถรอสักพักหนึ่ง เพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับรถออกไปเหตุคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จำเลยกลับขับรถตามรถทั้ง 2 คันไปในทันทีพร้อมขับแซงรถตู้บีบแตรยาวใส่แล้วขับไปอยู่ด้านหน้าชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดรถเพื่อให้ชนท้ายทั้งภรรยาจำเลย ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพรถยนต์ของพวกผู้ตายไว้อีก เช่นนี้ย่อมเป็นการท้าทายผู้ตายกับพวกให้เกิดโทสะและเข้ามาวิวาทกับจำเลย เหตุที่จำเลยมีความฮึกเหิมกล้าท้าทาย ก็เนื่องจากจำเลยพกพาอาวุธซึ่งบรรจุลูกกระสุนปืนไว้แล้วติดตัวไปด้วย และเตรียมอาวุธปืนไว้ตั้งแต่ที่หน้าร้านขายของฝาก บ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยว่าพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท เมื่อพวกของผู้ตายขับรถยนต์ มาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยได้หักหัวรถอย่างกระทันหันในลักษณะปาดหน้าและขัดขวางมิให้รถยนต์ของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายและพวกมาตลอดทาง
จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่จะยิงกัน จำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากันหลายคนก็เริ่มเกิดความขลาดกลัว แต่ยังคงพูดกับตายด้วยน้ำเสียงและคำพูดในลักษณะไว้ท่าที ว่าจะเอาเรื่องไม่ใช่คำพูดในทำนองขอโทษการกระทำของตนหรือแสดงให้เห็นว่าไม่อยากมีเรื่องหรือให้เลิกแล้วกันไป ประกอบกับ จำเลย เตรียมอาวุธปืนไว้พร้อมยิงต่อสู้ฝ่ายผู้ตายจึงต้องฟังว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาท แม้ผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอนนับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง 5 นาทีเศษ และตามพฤติการณ์เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาทกัน จำเลยจะอ้างว่ายิงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิ์ของตนไม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ตายกับพวกทำร้ายมารดา ภรรยา และหลาน ที่มากับจำเลยจึงอ้างไม่ได้ว่า จำเลย ยิงตายเพื่อป้องกันสิทธิ์ของผู้อื่นให้พ้นภยันอันตรายที่ใกล้จะมาถึง
จำเลยจึงมีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนและฆ่าผู้อื่นตามฟ้องแต่เนื่องจากจำเลยมิได้มีจิตใจโหดเหี้ยมเยี่ยงโจรผู้ร้าย เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุม จำเลยจึงยิงปืนไปเพียงหนึ่งนัด หลังเกิดเหตุมิได้หลบหนีและยอมรับกับตำรวจในทันที ว่า เป็นคนยิงผู้ตายประกอบกับผู้ตายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเห็นสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจำคุก 15 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 10 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนปรับ 4,000 บาทลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ 2,000 บาทรวมจำคุก 10 ปีและปรับ 2,000 บาท
พร้อมยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนางสาวมณีพร ผึ่งผาย มารดาผู้ตาย และให้ถือว่า นางสาวมณีพร อยู่ในฐานะผู้ร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น พร้อมสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 340,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องขอ
สืบเนื่องจากกรณีดังกล่าวนั้น
ทาง อมรินทร์ ทีวี ได้ไปสัมภาษณ์ นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ เผยว่าหลังจากที่มีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นออกมานั้น หากในชั้นศาลมีการสืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมนอกเหนือจากคลิปที่เผยแพร่ออกมา แล้วหากสามารถบ่งชี้ได้ว่า “เป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาทจริง” ก็จะไม่สามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวได้ ซึ่งก็ถูกต้องตามที่มีการพิจารณาบนชั้นศาลแล้ว
แต่ในมุมมองของตนนั้นไม่เห็นด้วย เนื่องจากคลิปที่ปรากฎในตอนแรกและตอนท้าย มองว่าการทะเลาะในช่วงแรกนั้นจบลงแล้ว จากนั้นจึงมีการขับรถไล่ตามกันมา ซึ่งลุงวิศวะเป็นผู้ถูกกระทำ ส่วนการพิจารณาของศาลที่ระบุว่าลุงวิศวะขับรถปาดหน้าตั้งใจยั่วยุนั้น มองว่าไม่ตรงกับภาพที่ปรากฎในคลิป อีกทั้งเสียงสุดท้ายก่อนจอดรถ ลุงวิศวะเองมีการพูดในเชิงว่า “มีป้อมยาม ต้องลงไปขอความช่วยเหลือ ก่อนจะจอดรถ” ซึ่งไม่ใช่การปาดหน้ารถแต่อย่างใด ประกอบกับหลังจากที่จอดรถแล้วลุงวิศวะ กลับถูกกลุ่มผู้ตายหลายคนจู่โจมเข้ามามีท่าทีที่ก้าวร้าว บังคับให้ลงจากรถ และถูกทำร้ายร่างกายก่อน จึงตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิง เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัยใน หากไม่ใช่อาวุธปืนยิงป้องกันก็อาจจะถึงแก่ชีวิตได้
ในขณะเดียวกันต้องเข้าใจว่า ลุงวิศวะไม่ได้มีการใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มผู้ตายก่อน ไม่มีเจตนานำอาวุธปืนมาทำร้ายใคร ซึ่งยิงออกไปเพียง 1 นัด ทั้งยังไม่ได้ตามทำร้ายใครต่อและหลังเกิดเหตุอยู่รอพบเจ้าหน้าที่ไม่มีท่าทีหลบหนีแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีคำพูดในลักษณะการขอร้องให้ยุติการทะเลาะวิวาท ไม่ได้มีคำพูดเชิงท้าทายหรือหาเรื่องตามคำพิจารณาของศาลแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ทนายเกิดผลมองว่าการตัดสินของศาลในความผิด “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” นั้น แรงเกินไป เพราะตนมองว่า “เป็นการป้องกันตัวและไม่เกินกว่าเหตุ” เนื่องจากลุงวิศวะคือผู้ถูกกระทำก่อน ไม่ใช่คนหาเรื่อง การพิพากษาของศาลควรจะเป็นความผิด “ป้องกันตัวเกินกว่าเหตุก็พอ”
ขอบคุณข้อมูลจาก อมรินทร์ ทีวี