อธิบดีกรมการแพทย์ เตือนหนัก น้ำต้มผ้าอนามัยอันตราย!

สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติของอินโดนีเซีย (BNN) เปิดเผยผ่านสื่อในประเทศ พบวัยรุ่นในกรุงจาการ์ตาและเขตชนบทของเกาะชวากลาง ดื่มน้ำต้มผ้าอนามัยเพื่อให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มมึนเมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องมีการรณรงค์เตือนภัยของการดื่มน้ำต้มผ้าอนามัย และป้องกันไม่ให้กระแสดังกล่าวเป็นที่นิยมแพร่หลายไปมากกว่าที่เป็นอยู่

นิตยสารเตมโปของอินโดนีเซีย รายงานอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของซิตตี ฮิมาวัตตี กรรมการพิทักษ์เยาวชนแห่งชาติ (KPAI) ซึ่งรับผิดชอบดูแลด้านสุขภาพเยาวชน ยาเสพติด และสารเสพติด ระบุว่าในปี 2560 พบการต้มผ้าอนามัยดื่มในกลุ่มวัยรุ่นเพียงไม่กี่ครั้ง แต่นับจากเดือน ก.พ. 2561 เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่พบกลุ่มวัยรุ่นต้มผ้าอนามัยดื่มเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และเป็นสถิติที่น่าตกใจ

นิตยสารเตมโปของอินโดนีเซีย รายงานอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของซิตตี ฮิมาวัตตี กรรมการพิทักษ์เยาวชนแห่งชาติ (KPAI) ซึ่งรับผิดชอบดูแลด้านสุขภาพเยาวชน ยาเสพติด และสารเสพติด ระบุว่าในปี 2560 พบการต้มผ้าอนามัยดื่มในกลุ่มวัยรุ่นเพียงไม่กี่ครั้ง แต่นับจากเดือน ก.พ. 2561 เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่พบกลุ่มวัยรุ่นต้มผ้าอนามัยดื่มเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และเป็นสถิติที่น่าตกใจ

สื่ออินโดนีเซียรายงานว่าเจ้าหน้าที่พบวัยรุ่นต้มผ้าอนามัยในเมืองโกรโบกัน, กูดุส, ปาตี, เร็มบัง, เซมารัง และในกรณีของกรุงจาการ์ตา พบเหตุการณ์ดังกล่าวในย่านเบกาซีและการาวัง แต่ไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจนว่าพบเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกี่ครั้งนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

 

 

 

"ยัสซี เปอร์มานา" ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีของสถาบันเทคโนโลยีบันดุง เตือนผ่านสื่อว่า ผ้าอนามัยและผ้าอ้อม มีสารโพลิเมอร์ดูดซับความชื้น หรือ SAP ที่ให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสารก่อความระคายเคืองได้อย่างรุนแรง ทั้งยังทำให้เกิดอาการตาแห้ง

ขณะที่เว็บไซต์โคโคนัทอินโดนีเซีย รายงานเพิ่มเติมโดยอ้างอิงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันประสาทวิทยาและการบำบัดทางจิตผู้มีอาการเสพติด หรือ IMAN ระบุว่าาการดื่มน้ำต้มผ้าอนามัยหรือผ้าอ้อมเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำลายตับและไต และทำให้ร่างกายสะสมสารก่อมะเร็ง

 

 

 

ส่วน "สุปรีนาโต" หัวหน้าหน่วยปราบปรามยาเสพติดประจำชวากลาง ระบุว่า วัยรุ่นที่เสพติดอาการมึนเมาที่มาจากการต้มผ้าอนามัยหรือผ้าอ้อมดื่ม มีช่วงอายุประมาณ 13-16 ปี ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชุมชนยากจนและชานเมืองที่ห่างไกล ในตอนแรกพวกเขาจะค้นหาผ้าอนามัยใช้แล้วจากที่ทิ้งขยะมาต้มน้ำดื่ม แต่ช่วงหลังเปลี่ยนมาใช้ผ้าอนามัยที่ยังไม่ได้ใช้ แต่ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจอย่างมาก เพราะสารโพลิเมอร์ที่อยู่ในผ้าอนามัยไม่ได้อยู่ในบัญชีสารเสพติด จึงไม่อาจดำเนินคดีกับผู้ที่เสพน้ำต้มผ้าอนามัยได้

 

โดยในเรื่องนี้ทางเฟซบุ๊ก Sitty Hikmawatty สมาชิกของคณะกรรมการปกป้องเด็กแห่งประเทศอินโดนีเซีย (KPAI) ได้ออกมากล่าวว่า "ในตอนนี้ได้มีวิธีใหม่ เกิดขึ้นสำหรับวัยรุ่นที่อยากจะมอมเมาตัวเอง แต่ว่ามีเงินไม่มากพอ ที่จะซื้อยาเสพติดหรือว่าสุรา นั่นคือการนำ "ผ้าอนามัย" ที่ผู้หญิงไว้ใช้เวลาที่มีประจำเดือนไปต้ม แล้วดื่มน้ำจากมันแทน"

ทั้งนี้ Sitty กล่าวว่าในปัจจุบันเด็กๆ มีความคิดที่กว้างขึ้นกว่าในอดีตมาก และส่วนหนึ่งก็มาจากการสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ จึงทำให้พวกเขาสามารถค้นหาสิ่งต่างๆ ได้อย่างมากมาย ซึ่งทั้งนี้นำไปสู่การลองสิ่งใหม่ๆ และเพิ่มตัวแปรอื่นๆ เข้าไปใน "สารเสพติด" เพื่อให้มันมีประสิทธิภาพความมึนเมามากขึ้นด้วย แต่ก็แน่นอนว่าการทดลองดังกล่าวแฝงไปด้วยความเสี่ยง ต่อการเกิดอันตรายอย่างแน่นอน

ทางด้านนาย Yessi Permana นักวิจัยด้านเคมีของสถาบัน Bandung Institute of Technology กล่าวว่า "โพลิเมอร์ที่สามารถดูดซับของเหลวที่อยู่ในผ้าอนามัยหรือที่รู้จักกันในนาม Superabsorbent polymers (SAP) จะสามารถส่งผลกระทบต่อดวงตาได้ โดยเฉพาะการนำไปต้มและบริโภคอย่างที่วัยรุ่นทำกันอยู่"
 

 

ล่าสุดกรมการแพทย์เตือนการดื่มน้ำต้มจากผ้าอนามัยอันตราย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเกิดอาการทางประสาทได้ในระยะยาว โดย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า "จากกรณีข่าวกลุ่มวัยรุ่นในประเทศอินโดนีเซียนำผ้าอนามัยไปต้มแล้วนำน้ำมาดื่มเพื่อให้เกิดอาการมึนเมาคล้ายการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นวิธีการของกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการจะมึนเมาแต่ไม่มีเงินซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสารเสพติดมาเสพ ทั้งนี้ในผ้าอนามัยมีส่วนประกอบสำคัญหลายชนิดที่ใช้ในการดูดซับเลือดในผ้าอนามัย หรือวันเดอร์เจล โดยมีสารเคมีอย่างน้อย 2 ชนิด ที่ก่อให้เกิดอาการมึนเมา เมื่อนำมาต้ม อาทิ ไฮโดรคาร์บอน โพลีไวนิลแอลกอฮอล์ ทำให้ออกฤทธิ์คล้ายแอลกอฮอล์บริสุทธิ์และก่อให้เกิดสารกล่อมประสาทเหมือนตัวยาบางชนิด"

อย่างไรก็ตามผ้าอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ภายนอกร่างกาย การนำมาบริโภคแม้จะเป็นการต้มแล้วดื่มน้ำอาจทำให้สารประกอบต่างๆที่อยู่ในผ้าอนามัยเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเกิดอาการทางประสาทได้ในระยะยาว ขอย้ำเตือนถึงกลุ่มวัยรุ่นที่คิดจะเลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าวให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพให้มาก ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมของบุตรหลานหากมีความเสี่ยงที่จะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ ควรชี้แจงให้บุตรหลานเข้าใจถึงอันตรายและผลกระทบต่อสุขภาพที่จะตามมาในอนาค

 

ขอบคุณ : กรมการแพทย์