- 07 ธ.ค. 2561
"โชคทวี พรหมรัตน์"พูดตรงเหตุ"ช้างศึก"ตกรอบซูซูกิคัพ เพราะนักเตะไม่มีความกระหายชัยชนะ
จากกรณีการแข่งขันเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018 รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย เปิดสนาม ราชมังคลากีฬาสถาน รับการมาเยือนของ "เสือเหลือง" โดยผลการแข่งขันที่จบลงไปทีมชาติมาเลเซีย สามารถบุกมายันเสมอกับทีมชาติไทย 2-2 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2018 รอบรองฯ ทำให้รวมผลสองนัด "ทัพนักเตะเสือเหลือง" สามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ด้วยกฏประตูทีมเยือนนั้น
ทั้งนี้ในเกมส์สำคัญนี้ มีจังหวะสำคัญของเกมก็คงจะไม่พ้นนาทีที่ช่วงทดเจ็บ ไทยมาได้จุดโทษจากจังหวะที่ ซยาห์มี ซาฟารี ทำแฮนด์บอลในเขตโทษ แต่อดิศักดิ์ ไกรษร ยิงจุดโทษข้ามคานออกไป และช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกมเสมอกันไป 2-2 ทำให้มาเลเซียผ่านเข้ารอบด้วยกฏประตูทีมเยือน โดยจะเข้าไปพบกับ ผู้ชนะระหว่าง เวียดนามหรือฟิลิปปินส์
ขณะที่นายอดิศักดิ์ ไกรษร กองหน้าทีมชาติไทย ก็ได้ออกมาพูดถึงจังหวะการพลาดจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจนทำให้ ทีมชาติไทย ทำได้แค่เสมอกับ ทีมชาติมาเลเซีย 2-2 พลาดการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศด้วยกฎประตูทีมเยือนว่า "ที่ดาวซัลโวสูงสุดที่ยิงไปแล้ว 8 ประตูในรายการนี้ กล่าวถึงวินาทีพลาดลูกจุดโทษในช่วงท้ายเกมว่า “พูดอะไรไม่ออก มันถือเป็นบทเรียนและต้องสู้กันต่อไป ส่วนจังหวะที่ยิงจุดโทษ ผมพลาดเอง คิดเยอะไปหน่อย ฝากบอกทุกคนด้วยว่าจังหวะแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้น ถึงเวลานั้นเราไม่ควรกังวล ผมคิดเยอะไป ขอบคุณ ขอบคุณทุกกำลังใจ วันนี้ทุกคนทำเต็มที่ ส่วนผมผิดพลาดก็เป็นบทเรียนของผมและทุกๆคน"
อีกทั้งก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ระบุข้อว่า "ซูซูกิคัพ ไม่ใช่ทีมชุดใหญ่ จึงวัดผลงาน ราเยวัช 6 ธันวาคม 2561 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลฯบอกว่ารายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพไทยไม่ได้ส่งทีมชุดใหญ่ไปแข่งจึงใช้วัดผลงานของ มิโลวาน ราเยวัชไม่ได้หลังจากที่คนไทยทั้งประเทศต้องผิดหวังกับผลงานของ ทีมชาติไทยเมื่อตกรอบรองชนะเลิศเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 ด้วยการแพ้ มาเลเซียตามกฎอะเวล์โกล (บุกไปเสมอ 0-0, เล่นในบ้านเสมอ 2-2)"
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : นายกฯส.บอลไม่ลาออก ยังไม่ปลดโค้ชราเยวัชรอประเมินหลังเอเชียนคัพ บอกบอลมีแพ้มีชนะ
ล่าสุดในเพจเฟซบุ๊ก ช้างศึก ได้เผยแพร่คำแนะนำสำคัญ ของโค้ชโชคทวี พรหมรัตน์ ว่า 5 สิ่งที่ต้องมี ก่อน "ช้างศึก" ลุยเอเชียน คัพ ระบุข้อความว่า "การเดินทางไปชมเกมที่ ทีมชาติไทย พบ มาเลเซีย ในอาเซียนคัพ 2018 รอบรองชนะเลิศ ถึงขอบสนาม ผมได้มีโอกาสนั่งชมเกมคู่กับ "โค้ชโชค" โชคทวี พรหมรัตน์ อดีตนักเตะและโค้ชทีมชาติไทย ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง
โค้ชโชคทวี
เราได้พูดคุยและพูดถึงเกมการแข่งขันแบบถึงพริกถึงขิง ก่อนที่ “ช้างศึก” จะตกรอบด้วยกฎประตูทีมเยือน และนี่คือ 5 สิ่งที่ต้องมีที่ "โชคทวี พรหมรัตน์" แนะนำ ก่อนที่ "ช้างศึก" จะลุยเอเชียน คัพ 2019 ต้นปีหน้า
1.คาแรคเตอร์ ไม่ยอมแพ้ คาแรคเตอร์ ไม่ยอมแพ้ ที่สาบสูญอันเนื่องมาจากสถานการณ์นำพา มันเกิดขึ้นชัดเจนกับ 2 เกมในทัวร์นาเมนต์นี้ ครั้งแรกคือเกมบุกเสมอ ฟิลิปปินส์ 1-1 ต่อมาคือค่ำคืนที่เสมอ มาเลเซีย 2-2 ก่อนตกรอบ จะเห็นได้ว่า ไม่มีนักเตะไทยคนไหนแสดงให้เห็นถึงความกระหายชัยชนะ เมื่อจวนตัวก็พยายามเล่นเซฟโซน บุคลิกเกลียดความพ่ายแพ้จึงสำคัญ โดยเฉพาะเกมเสมอมาเลเซีย 2-2 ผู้เขียนอยู่ในสนามและไม่อยากเชื่อว่า สถานการณ์เปลี่ยนแปลง นักเตะไทยหลายคนให้จมลึกลงไปในพื้นที่ปลอดภัย ไม่กล้าแสดงฝีเท้าที่แท้จริงผลที่ออกมาคือ ตกรอบ แบบเจ็บปวด
โดย “โค้ชโชค” มั่นใจว่าทางแก้ของทีม “ช้างศึก” คาดว่าได้ถูกวางไว้แล้วจากการมาของ 4 ขุนพลไทยที่ค้าแข้งต่างแดนอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน, กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ที่ได้พิสูจน์แล้วว่า กว่าจะได้เป็นนักเตะตัวหลักกับสโมสรต่างประเทศ พวกเขาต้องกระหายชัยชนะขนาดไหน?
2.ความแตกต่าง ปกเกล้า, ธนบูรณ์, สรรวัชญ์ และ ฐิติพันธ์ คือนักเตะในปรัชญาฟุตบอลของ มิโลวาน ราเยวัช นั่นคือ การควบคุม ทั้งผลการแข่งขัน วิธีเล่น, ดีเทลนักเตะ นำมาซึ่งผลการแข่งขันตามเป้าหมาย โดยวิถีฟุตบอลมันไม่จริงทั้งหมด เมื่อเกมแข่งมีเวลา 90 นาที พร้อมเงื่อนไขต่างสถานการณ์ของกฎประตูทีมเยือน การควบคุมแบบเบ็ดเสร็จจึงไม่เกิดการพลิกแพลง แท็คติกจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องนักเตะ เจ้าของฉายา "นกกระยางดำ" บอกว่า ด้วยฝีเท้าของแข้งไทยชุดนี้ถ้าให้เล่นเกมรุกก็ทำได้แบบไม่ขัดเขิน ความแตกต่างหนึ่งเดียวของไทยจึงมีตัวเลือกเพียง สุมัญญา ปุริสาย แต่ด้วยเวลาและสถานการณ์ที่ถูกส่งลงไป จึงแทบเป็นเกมที่ไม่ได้เป็นไปตามความตั้งใจ นอกจากประตูนำ 2-1 เท่านั้น
ฉะนั้นการค้นหานักเตะที่สร้างความแตกต่าง ก่อนฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียจะเริ่มขึ้น นอกเหนือจาก 4 นักเตะที่ค้าแข้งอยู่ต่างประเทศแล้ว เรายังจำเป็นต้องหา นักเตะอย่าง จักรพันธ์ แก้วพรม, ธีรเทพ วิโนทัย เหล่านี้ล้วนมีความสำคัญกับทีมไทยทุกระดับการแข่งขัน จงอย่ามองข้ามเด็ดขาด
3.วิสัยทัศน์ หลังจบเกม โชคทวี พรหมรัตน์ ได้กล่าวว่า การสร้างสิ่งที่มองไม่เห็น หรือ “วิสัยทัศน์” ในการทำงานเป็นทีมจากนอกสนาม จะช่วยเสริมศักยภาพของนักบอลไทยให้ยกระดับได้ เช่น การยกให้เกมนั้นๆ สำคัญจนแพ้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เป็นการกระตุ้นชั้นดี การตั้งเป้าหมายสูงๆ และการสร้างสถานการณ์ที่พลาดไม่ได้ก็ควรมี เพราะคำพูดว่า “ไม่เป็นไร ยังไงก็แชมป์” ไม่ช่วยทีมฟุตบอลฮึดสู้จนวินาทีสุดท้ายได้ แต่การวางเป้าหมายว่า แชมป์เท่านั้น หรือสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ยกระดับทีมได้มากกว่า โดยฟุตบอลเอเชียนคัพ 2019 จึงเป็นวัตถุดิบชั้นดีให้ได้สร้างมาตรฐานใหม่ คือการวางวิสัยทัศน์ที่ไกล และ ชัดเจน เพื่อให้ “ช้างศึก” ไม่หลงอยู่ในภวังค์ที่ว่า ไม่เป็นไร, นี่ระดับเอเชีย, แค่นี้พอแล้ว ซึ่งคำพูดทั้งหมดล้วนไม่ก่อให้เกิดปาฎิหาริย์
4.ทำการบ้านให้หนักขึ้น ต่อจากนี้ฟุตบอลไทยจะเข้าสู่โหมดระดับเอเชียเต็มตัว การเตรียมทีมให้พร้อมและทำการบ้านให้หนักขึ้น ในการแข่งขันฟุตบอลเอเชียนคัพ 2019 ที่ทีมไทยอยู่ในสายเอ ร่วมกับ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (เจ้าภาพ), อินเดีย, บาห์เรน ที่มองจากชื่อชั้นยกเว้นเจ้าภาพ ดูคุณภาพทีมจะใกล้เคียงกัน กระนั้นหากวัดตามฟีฟ่า แรงกิ้ง มีตัวเลขวัดผลแบบสากล ทีมช้างศึก เป็นรองทุกทีม อย่างไรก็ตามด้วยความที่แต่ละทีมไม่ค่อยได้วัดฝีเท้ากันบ่อยนัก การรู้ซึ่งศักยภาพคู่ต่อสู้จึงจำเป็น สำหรับเป้าหมายที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย วางไว้นั้น คือผ่านรอบแบ่งกลุ่มให้ได้สถานเดียว บวกกับระบบการแข่งขันที่เปิดโควตาอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 จาก 6 กลุ่ม โอกาสที่ ทีมไทย จะเข้ารอบน็อกเอาต์จึงมีสูงขึ้น แต่การคว้าสิทธิ์เข้ารอบแบบอัตโนมัติ เป็นสิ่งที่ “ช้างศึก” ควรต้องทำให้ได้มากกว่าไปรอลุ้นระทึก
5.กองเชียร์ 100 เปอร์เซนต์ ถึงตรงนี้คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่ากองกำลังแห่งกองเชียร์ไทยอีกแล้ว ที่จะทำให้ “ช้างศึก” เดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดย “โค้ชโชค” เชื่อว่า การให้การสนับสนุนทุกช่องทางจากแฟนบอลไทย เพื่อให้นักบอลไทยได้รู้ว่า พวกเขาไม่ได้เดินอย่างเดียวดาย เรียกร้อง ตะโกนเชียร์ เอาให้หนักก่อนเกม เชียร์ให้สุดใจ กระตุ้นพวกเขาระหว่างเกมไม่ให้ตกหลุมแห่งอารมณ์ และเมื่อจบเกมก็ปลุกกำลังใจพวกเขาให้ลุกขึ้นสู้ต่อ เมื่อทุกอย่างมาพร้อมกัน เชื่อว่า “ความฝัน” ที่แฟนบอลอยากจะเห็น “ช้างศึก” ก้าวไปในที่ที่ไม่เคยไป ก็จะเกิดขึ้นในไม่ช้า"
ทำให้ชาวโซเชียลและแฟนบอลเข้ามาแสดงความคิดเห็น ว่าเห็นด้วยกับ 5 สิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก และคนไทยก็ไม่ได้ผิดหวังที่ทีมไทยจะแพ้ พร้อมหน้าตาเชียร์ต่อ ขอเพียงมีความมุ่งมั่น ร่วมมือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกปัญหาก็จะผ่านไปได้ด้วยดี
ขอบคุณเฟซบุ๊ก : ช้างศึก