- 28 ก.พ. 2562
กองทัพอินเดีย-ปากีฯ เปิดศึกภาคพื้นดิน สื่อตปท.เทียบขุมกำลังรบ 2 ชาติ
จากกรณีที่โฆษกกองทัพปากีสถาน ได้ออกแถลงว่ากองทัพปากีสถานได้ยิงเครื่องบินกองทัพอากาศอินเดียร่วงลง 2 ลำ บริเวณพื้นที่ความขัดแย้งในดินแดนแคชเมียร์ โดยเครื่องบินลำหนึ่งร่วงลงพื้นที่ในควบคุมของอินเดีย และอีกลำหนึ่งตกลงในพื้นที่ควบคุมของปากีสถาน
โดยแถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้น หลังมีรายงานว่า เครื่องบินกองทัพอากาศปากีสถาน รุกล้ำน่านฟ้าของอินเดียก่อนจะถูกผลักดันกลับไป ทำให้นักบินอินเดียถูกจับกุม 2 นาย ในจำนวนนี้ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล 1 ราย
ขณะที่ทางการของอินเดียระบุว่า เครื่องบินปากีสถาน 3 ลำก็เข้ามาในน่านฟ้าอินเดีย แต่ถูกอินเดียสกัดและบังคับให้กลับไปนอกจากนี้ยังได้มีการสั่งปิดสนามบินอย่างน้อย 4 แห่ง ทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย ได้แก่สนามบิน Pathankot, Leh และ Jammu รวมทั้งสนามบินศรีนาการ์ ซึ่งเป็นสนามบินสำคัญในแคว้นแคชเมียร์ เนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัย
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทการบินไทย ได้รับผลกระทบจากการปิดน่านฟ้าครั้งนี้ เบื้องต้น 3 เที่ยวบินประกอบด้วย เที่ยวบิน TG974 กรุงเทพฯ-มอสโก TG916 กรุงเทพฯ-ลอนดอน และ TG296 ภูเก็ต-แฟรงก์เฟิร์ต ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางบินกลับมาลงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอย่างเร่งรวดในช่วงเมื่อวานนี้ (27 ก.พ.)
อ่านข่าว : "การบินไทย" สั่งยกเลิก 3 ไฟล์ทบินยุโรป หลังกองทัพอากาศปากีฯเปิดศึกยิงเครื่องบินอินเดีย
ล่าสุดมีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศและรอยเตอร์ ถึงสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถาน หลังกองทัพปากีสถานยิงเครื่องบินขับไล่ MiG-21 ของอินเดียตก 2 ลำ และจับกุมนักบินอินเดีย นาวาอากาศโท อภินันดัน ขณะที่อินเดียเรียกร้องให้ปากีสถานปล่อยตัวนักบิน ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากหลายประเทศทั่วโลก ทั้งจีน และสหรัฐฯ ให้ทั้งสองประเทศ ซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง อดทนต่อภาวะดังกล่าว อย่าเกิดการเผชิญหน้า สู้รบกันนั้น
โดยช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กำลังทหารภาคพื้นดินของกองทัพอินเดียและปากีสถานมีการยิงปืนใหญ่ข้ามเส้นแบ่งเขตแดนหยุดยิง ตอบโต้กัน ในบริเวณเมืองพูนช์ แคว้นแคชเมียร์ ทางฝั่งอินเดียอย่างดุเดือด โดยโฆษกกองทัพอินเดียแถลงต่อสื่อมวลชนอย่างชัดเจนว่า กองทัพอินเดียได้มีการยิงปืนใหญ่ตอบโต้ฝ่ายปากีสถานอย่างรุนแรง ซึ่งทางการอินเดียอ้างว่า ทหารปากีสถานเป็นฝ่ายยิงปืนใหญ่เข้ามาในดินแดนของอินเดียก่อนหลังเวลา 06.00 น. ของเช้าวันนี้ (28 ก.พ.62) ถือเป็นการยิงต่อสู้กันอย่างดุเดือดกว่าเมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีรายงานมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการยิงต่อสู้กัน
ส่วนทางการอินเดียกำลังได้สร้างบังเกอร์ให้ครอบครัวชาวบ้านในแคชเมียร์ หลบกระสุนมากกว่า 14,000 บังเกอร์ ตามแนวชายแดนในรัฐชัมมูและแคชเมียร์ เพื่อหวังให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มีบังเกอร์หลบภัย แทนที่จะเสี่ยงอันตรายอยู่ในบ้านของตนเอง หากเกิดเหตุการณ์ทหารอินเดียและปากีสถานมีการยิงปืนใหญ่ต่อสู้กัน
นอกจากนี้ในโลกออนไลน์ ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบขุมกำลังของทั้งสองประเทศ ที่ทำการรบในขณะนี้ เสมือนเป็นการตอกย้ำชัดเจนว่า นี่คือการทำสงครามที่ถือว่าดุเดือด และรุนแรงมาก
จากภาพจะเห็นได้ว่า อินเดีย และปากีสถาน มีงบประมาณทางทหาร ดังนี้
อินเดีย: $ 63 พันล้าน
ปากีสถาน: $ 10,000 ล้าน
กองกำลัง (ล้าน)
อินเดีย: 1.3
ปากีสถาน: 0.63
อากาศยาน
อินเดีย: 2185
ปากีสถาน: 1281
รถถัง
อินเดีย: 4426
ปากีสถาน: 2182
เรือของกองทัพเรือ
อินเดีย: 295
ปากีสถาน: 197
เรือบรรทุกเครื่องบิน
อินเดีย 1
ปากี 0
เรือดำน้ำ
อินเดีย 16
ปากี5
นิวเคลียร์
อินเดีย 140
ปากี 150
งบการทหาร สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ (ไอไอเอสเอส) ระบุว่า ในปีที่แล้ว อินเดียจัดสรรงบประมาณจำนวน 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพื่อสนับสนุนกองกำลังทหารที่ประจำการอยู่ 1.4 ล้านนาย
ขณะที่ปากีสถานจัดสรรงบประมาณให้กองทัพ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 3.6% ของจีดีพี เพื่อสนับสนุนกองกำลังทหารของตนราว 6.54 แสนนาย และยังได้รับเงินช่วยเหลือด้านการทหารจากต่างชาติอีก 100 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
สถาบันวิจัยเพื่อสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม หรือ “ซิปรี” (SIPRI) คาดว่า ระหว่างปี 2536-2549 รัฐบาลปากีสถานใช้งบประมาณกว่า 20% ของงบประมาณรายปีทั้งหมดไปกับกองทัพ ส่วนในปี 2560 ปากีสถานใช้งบด้านการทหาร 16.7% ของงบประมาณรัฐทั้งหมด
ส่วนอินเดียใช้งบประมาณด้านกองทัพในสัดส่วนไม่ถึง 12% ของงบประมาณทั้งหมดในช่วงระหว่างปี 2536-2549 และในปี 2560 งบประมาณกองทัพของอินเดียอยู่ที่ 9.1% ของงบประมาณรัฐบาลทั้งหมด
ขีปนาวุธ-อาวุธนิวเคลียร์ ไอไอเอสเอส ระบุว่า อินเดียมีขีปนาวุธที่ใช้งานได้อยู่ 9 ประเภทซึ่งรวมถึง “Agni-3” ที่มีพิสัยการยิง 3,000-5,000 กม. ส่วนปากีสถาน แม้ไม่มีข้อมูลตัวเลขเจาะจง แต่ทำโครงการขีปนาวุธด้วยความช่วยเหลือจากจีน ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธระยะสั้นถึงกลางที่สามารถโจมตีพื้นที่ทุกจุดของอินเดีย ไอไอเอสเอส ระบุว่า ขีปนาวุธรุ่น “Shaheen 2” ของปากีสถานมีพิสัยการยิงไกลที่สุดมากถึง 2,000 กม.
ส่วนเรื่องขุมกำลังด้านนิวเคลียร์ ข้อมูลของซิปรีระบุว่า ปากีสถานมีหัวรบนิวเคลียร์ 140-150 ลูก ขณะที่อินเดียมีหัวรบนิวเคลียร์ 130-140 ลูก
กองทัพบก ข้อมูลของไอไอเอสเอส ชี้ว่า อินเดียมีกองทัพขนาดใหญ่ที่มีทหารราว 1.2 ล้านนาย พร้อมด้วยรถถัง 3,565 คัน รถทหารราบ 3,100 คัน รถหุ้มเกราะ 336 คัน และปืนใหญ่อีก 9,719 กระบอก
ขณะที่ปากีสถานมีกองทัพขนาดเล็กกว่า โดยมีกำลังพล 5.6 แสนนาย พร้อมด้วยรถถัง 2,496 คัน รถหุ้มเกราะ 1,605 คัน และปืนใหญ่อีก 4,472 กระบอก ซึ่งรวมถึงปืนใหญ่อัตตาจร 375 กระบอก
กองทัพอากาศ ด้วยจำนวนทหารอากาศ 1.27 แสนนายและเครื่องบินขับไล่ 814 ลำ กองทัพอากาศของอินเดียจึงมีขนาดใหญ่กว่าปากีสถานอยู่มาก แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับฝูงบินรบ
กระทรวงกลาโหมอินเดียมีแผนที่จะซื้อเครื่องบินรบ 42 ลำและอากาศยานทางทหารอีกราว 750 ลำ เพื่อป้องกันการโจมตีจาก 2 เพื่อนบ้านคู่อริอย่างจีนและปากีสถาน
ทางการอินเดียเปิดเผยว่า เนื่องจากเครื่องบินรบรัสเซียรุ่น MiG-21 ที่ประจำการครั้งแรกตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 60 กำลังจะปลดประจำการในเร็ว ๆ นี้ อินเดียจึงจำเป็นต้องมีฝูงบินรบ 22 ลำภายในปี 2575
ส่วนปากีสถานมีเครื่องบินขับไล่ 425 ลำ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินจีนรุ่น F-7PG และเครื่องบินอเมริกันรุ่น F-16 Fighting Falcon นอกจากนั้น ไอไอเอสเอส ระบุว่า ปากีสถานยังมีเครื่องบินเตือนภัยและควบคุมทางอากาศ 7 ลำ หรือมากกว่าอินเดีย 3 ลำ
กองทัพเรือ กองทัพเรือของอินเดียมีเรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ เรือดำน้ำ 16 ลำ เรือพิฆาต 14 ลำ เรือรบขนาดกลาง 13 ลำ เรือตรวจการชายฝั่ง 106 ลำ และเรือบรรทุกเครื่องบินที่ออกรบได้อีก 75 ลำ ส่วนกำลังพลกองทัพเรืออินเดียมีอยู่ 6.77 หมื่นนาย ซึ่งรวมถึงทหารเรือและเจ้าหน้าที่การบินนาวี
ขณะที่ปากีสถานซึ่งมีพื้นที่แนวชายฝั่งน้อยกว่าอินเดียอยู่มาก มีเรือรบขนาดกลาง 9 ลำ เรือดำน้ำ 8 ลำ เรือตรวจการชายฝั่ง 17 ลำ และเรือบรรทุกเครื่องบินที่ออกรบได้อีก 8 ลำ
อย่างไรก็ตามหากเรียงลำดับตามไทม์ไลน์ระยะเวลาจะพบว่า ความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถานปะทุขึ้นตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.2562 จากเหตุระเบิดพลีชีพในแคชเมียร์ ดินแดนแถบหิมาลัยที่ต่างฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ ระเบิดพลีชีพคร่าชีวิตทหารอินเดีย 40 นาย
โดยรัฐบาลนิวเดลีประกาศตอบโต้ ด้วยการส่งเครื่องบินรบเข้าไปในน่านฟ้าปากีสถาน เมื่อวันอังคาร (26 ก.พ.) ถล่มค่ายกลุ่มจาอิช อี โมฮัมเหม็ด (เจ็ม) ที่อ้างว่าอยู่เบื้องหลังระเบิดแคชเมียร์
ต่อมาซุสมา สวาราชรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย แจ้งกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีนและรัสเซียว่า การชิงลงมือโจมตีก่อนโดยหวังผลจำกัดกระทำได้อย่างแม่นยำ จัดการกับโครงสร้างพื้นฐานของจาอิช อี โมฮัมเหม็ด เพื่อป้องกันไม่ให้มาโจมตีก่อการร้ายในอินเดียได้อีก
ด้านรัฐบาลอิสลามาบัด ที่ปฏิเสธว่าการโจมตีของอินเดียไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หรือมีผู้เสียชีวิต ก็ประกาศว่าจะเอาคืนแน่นอน ยิ่งทำให้หวั่นเกรงกันว่าจะเกิดการเผชิญหน้ากันในเอเชียใต้ ดินแดนแคชเมียร์เป็นชนวนให้สองชาติทำสงครามกันมาแล้ว 2 ครั้ง และสู้รบเล็กๆ น้อยๆ กันอีกนับไม่ถ้วน แต่น้อยครั้งมากที่ทหารบกหรือทหารอากาศจะข้ามเส้นแห่งการควบคุม (แอลโอซี) ที่มีทหารดูแลอย่างเข้มข้น ถือเป็นพรมแดนโดยพฤตินัยระหว่างสองคู่อริ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ประกาศเเจ้งเตือน "คนไทย" หลีกเลี่ยง หลังปากีฯ สอยเครื่องบินขับไล่อินเดียร่วง
- จีนไฟเขียว ให้การบินไทยบินผ่านไปยุโรปได้ หลังปากีสถานทำป่วน ปิดน่านฟ้า
- การบินไทยแจ้งมีเส้นทางบินไปยุโรป แทนน่านฟ้าปากีสถานแล้ว เริ่มทยอยพานทท.ออกสุวรรณภูมิทันที
- การบินไทยแจ้งมีเส้นทางบินไปยุโรป แทนน่านฟ้าปากีสถานแล้ว เริ่มทยอยพานทท.ออกสุวรรณภูมิทันที
Cr.reuters.com