- 01 ก.ค. 2562
ล่าสุด นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี 5
จากกรณีที่รถเบนซ์อี 250 ของนายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ ซึ่งมีอาการเมาสุราขณะขับรถและได้พุ่งชน พ.ต.ท.จตุพร งามสุวิชชากุล รอง ผกก.(สอบสวน) กก.2บก.ป.หรือรองตี๋ และนางนุชนาถ งามสุวิชชากุล ภรรยาจนเสียชีวิต รวมถึง ด.ญ.พิญาภา งามสุวิชชากุล หรือ น้องแพรว ลูกสาววัย12 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ต่อมา นายวีรวุฒิ บำรุงใจ ทนายความของ นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ ได้เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปยื่นเรื่องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางให้กำหนดผู้อนุบาลดูแลจัดการทรัพย์สินทั้งหมดของบุตรสาวทั้ง 2 คนของรองตี๋เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยนายสมชาย ได้มอบเงินให้กับบุตรสาวของคู่กรณีทั้งคู่ รวม 30 ล้านบาท ไปเรียบร้อยแล้วเช่นกัน และทำการลงบันทึกประจำวันไว้กับพนักงานสอบสวน สน.ศาลาแดง เอาไว้แล้ว โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะรออัยการฟ้อง ซึ่งนายสมชาย ก็จะยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา จากนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลท่านจะตัดสินเช่นไร
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี 5 ได้ยื่นฟ้อง นายสมชาย เป็นจำเลย ในคดีหมายเลขดำ 1839/2562 ต่อศาลจังหวัดตลิ่งชัน ซึ่งหลังฟ้อง เมื่อศาลจังหวัดตลิ่งชัน สอบคำให้การจำเลยแล้ว ให้การรับสารภาพตามฟ้องอัยการโจทก์ ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วจึงเห็นสมควรให้มีการสืบเสาะและพินิจจำเลยก่อนมีคำพิพากษา โดยให้พนักงานคุมประพฤติรายงานผลการสืบเสาะนั้นให้ศาลทราบภายใน 15 วัน และให้นัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
อ่านข่าว : อัยการสรุปสั่งฟ้อง "เสี่ยเบนซ์" เมาขับชน "พ.ต.ท.จตุพร-ภรรยา" 3 ข้อหา ลุ้นคำพิพากษา 31 ก.ค.นี้
ล่าสุด นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงคดีนี้ ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี 5 ได้ยื่นฟ้อง นายสมชาย เป็นจำเลย ในคดีหมายเลขดำ 1839/2562 ต่อศาลจังหวัดตลิ่งชัน ในฐานความผิดขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฏหมายกำหนด ,ขับรถในขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้รับอันตรายสาหัสและทรัพย์สินเสียหาย , ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส รวม 3 ข้อหา ว่า
"ที่อัยการสั่งไม่ฟ้องความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นฯ ตามที่พนักงานสอบสวนสรุปสำนวนแจ้งข้อหาดังกล่าวมาด้วยนั้น ทางสำนักงานอัยการสูงสุดเราให้ดุลพินิจในการพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดที่เป็นอิสระกับอัยการเจ้าของสำนวนและคณะทำงาน ในคดีนี้มีอัยการพิเศษฝ่ายร่วมพิจารณาอยู่กับอัยการเจ้าของสำนวนที่รับผิดชอบและมีคำสั่งฟ้อง 3 ข้อหาดังกล่าวโดยข้อหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนั้นไม่ตัดสิทธิหากญาติผู้เสียหายจะไปยื่นฟ้องเอง"
แต่ในคดีนี้ภายหลังจากที่อัยการยื่นฟ้องไป 3 ข้อหาในส่วนข้อหาความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นฯตามกฎหมายยังต้องส่งให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ทำความเห็นแย้งกลับมาได้ แต่ทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีความเห็นด้วย คือไม่เห็นแย้งกับความเห็นของอัยการ เท่ากับว่าความเห็นเป็นที่สุดให้ฟ้องตามความเห็นของอัยการ
เเต่หลังจากที่อัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ทางผู้เสียหายได้ขึ้นแถลงในศาลว่าไม่ติดใจเอาความ โดยที่ลูกสาวของ พ.ต.ท.จตุพร โดยผู้รับมอบอำนาจแถลงว่าได้รับแคชเชียร์เช็คจำนวน 45 ล้านเป็นชื่อของลูกสาว พ.ต.ท.จตุพรจริง ซึ่งขณะนี้ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ที่ได้สอบคำให้การจำเลยแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลพิเคราะห์แล้วจึงเห็นสมควรให้มีการสืบเสาะและพินิจจำเลยก่อนมีคำพิพากษาเเละรอฟังคำพิพากษา วันที่ 31 ก.ค.