- 09 ก.ค. 2562
ล่าสุดในเฟซบุ๊ก Jiratchaya Rangsaritwirachot ลูกสาวของผู้เสียชีวิต ได้โพสต์ข้อความร่ายความอีกครั้ง ถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
นับเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างมาก เมื่อลูกสาวได้เล่าถึงการเสียชีวิตของพ่อตนเอง เพราะพาไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ได้ถูกแซงคิวตรวจ จนอาการพ่อเริ่มแย่ลง แต่เหมือนทางพยาบาลไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควร จากจะช่วยชีวิตไว้ทัน กลับเป็นต้องจากกันไปตลอดกาล
โดยในเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Jiratchaya Rangsaritwirachot ได้เล่าบรรยายเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่พาคุณพ่อไปโรงพยาบาล พร้อมบอกว่า "ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นภาพสุดท้าย ... ลูกขอโทษนะป๋า ที่ให้ป๋านั่งคอยนาน 2 คิว ถูกแซงคิวไปอีกคิว ป๋าต้องนั่งคอย ...
ลูกไม่น่าเลย ลูกเสียใจ ป๋า ลูกพาป๋าถึงมือหมอช้าไป เพราะจุดคัดกรอง ต้องให้ป๋านั่งรอ ลูกมาดูภาพอีกครั้ง ป๋าไม่ไหวแล้ว ป๋าเหนื่อย ป๋านั่งรอ กว่าจะได้ตรวจ ได้เจอหมอ .. ใครที่ไม่อยู่จุดนี้ ไม่เข้าใจหรอก พ่อขอให้พามาโรงพยาบาล แสดงว่าพ่อไม่ไหวแล้ว อยากเจอหมอ
พ่อจากไปแล้ว เพราะนั่งคอยตรวจนาน ตรวจแล้วไม่ให้เข้าห้องอีก อุตส่าห์ให้แม่วิ่งไปยื่นบัตร จะได้ตรวจไวขึ้น แต่ที่ไหนได้ เจ้าหน้าที่จุดคัดกรอง บอกว่าพ่อไม่หนัก ความดันปกติ ... แต่คุณไม่ได้จับชีพจร คุณไม่ใช่พยาบาล คุณไม่ใช่หมอ คุณมีสิทธิ์บอกว่า พ่อเข้าไม่ได้ได้ไง ให้คนอื่นเข้าก่อนได้ไง #คนไข้นั่งรถเข็น ไม่ได้รับการตรวจรักษา ...นั่งรอ 3 คิว ถูกแซงไปอีก 1 คิว นั่งรอจนความดันลดลง ความดันต่ำลง 38
พ่อต้องรอนาน ในห้องฉุกเฉิน ที่ลูกถูกไล่ออกไป แล้วพ่อเข้า ไอซียู ลูกก็เข้าไปไม่ได้
พ่อเหนื่อย พ่อหายใจไม่ปกติ หัวใจเต้นผิดปกติ หายใจเหนื่อย พ่อตายแล้ว ปั้มหัวใจ 40 นาที ไม่ตื่น พ่อเสียแล้ว
ต่อมาสาวคนดังกล่าว ได้เล่าเพิ่มเติม ในวันสูญเสียคุณพ่อ ผ่านทางเฟซบุ๊ก Jiratchaya Rangsaritwirachot ระบุว่า "คนตายแล้วไม่ฟื้น แต่การบริการที่แย่ สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ เรื่องราวของป๋า คงทำให้การบริการคนไข้ดีขึ้น ไม่มากก็ไม่น้อย ป๋าตายแล้ว ป๋านั่งรถเข็นมาขอพบหมอ แต่จุดคัดกรอง วัดความดัน แล้วให้นั่งรอ มันบอกความดันปกติ ป๋านั่งรอจนป๋าตัวเย็น ความดันลดลง ต้องด่ามัน มันถึงพาเข้า แต่ก่อนพาเข้ามันตรวจความดันโชว์ ต่ำ 38 มันกล้ามาก เรายังมีแม่ มีน้องๆ มีเพื่อนๆ ที่อาจต้องใช้บริการที่นี่ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก
ทางด้านโรงพยาบาลต้นสังกัด ที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ออกชี้แจงถึงกรณีนี้ โดยทางด้านนพ.ยุทธนา รุ่งธีรานนท์ นายแพทย์ชำนาญการ อายุรแพทย์โรงพยาบาลเบตง ซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของคนไข้ ได้ให้ข้อมูลว่า หลังจากได้รับตัวคนไข้จากห้องฉุกเฉิน มาอยู่ในห้องไอซียู ประเมินอาการโดยรวม คนไข้อาการยังไม่คงที่ มีอาการมีหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นเร็ว ประมาณ 130 ครั้ง ต่อนาที ความดันต่ำ ทางแพทย์ก็รีบช่วยดูแลรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนสาเหตุที่คนไข้เสียชีวิต เนื่องจากมีภาวะช็อกจากการติดเชื้อ ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ประกอบกับคนไข้มีความดันลดลง
โดยแพทย์หญิงปัทมพันธ์ อนันตาพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเบตง จ.ยะลา ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า หลังจากมีข่าว ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการเรียกประชุมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ พร้อมทั้งตรวจสอบเอกสารต่างๆ กล้องวงจรปิด เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อหาสาเหตุ แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เจ้าหน้าที่คัดกรอง ซึ่งเป็นพนักงานเวชกิจฉุกเฉิน ได้ตรวจอาการผู้ป่วยก่อนเพื่อแบ่งระดับความหนักเบาของผู้ป่วย หากผู้ป่วยที่มีอาการหนักก็จะนำเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อให้แพทย์ทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
ในกรณีที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จุดคัดกรองได้ตรวจวัดความดันของผู้ป่วยที่เสียชีวิตเรียบร้อยแล้ว ซึ่งความดันขณะนั้นอยู่ที่ 144/ 80 ซึ่งถือว่าปกติ จึงจัดเป็นผู้ป่วยในโซนสีเขียว คือ เจ็บป่วยเล็กน้อย จึงได้ให้นั่งคอยตามคิว ส่วนที่ว่ามีการแซงคิว เนื่องจากมีผู้ป่วยอีกคนที่มาทีหลัง แต่ตรวจวัดความดันพบว่าความดันต่ำ อยู่ที่ 75/38 ซึ่งถือว่ามีอาการหนักกว่า เป็นผู้ป่วยในโซนสีชมพู คือ เจ็บป่วยรุนแรง เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวเข้าห้องฉุกเฉินก่อน
ล่าสุดในเฟซบุ๊ก Jiratchaya Rangsaritwirachot ลูกสาวของผู้เสียชีวิต ได้โพสต์ข้อความร่ายความอีกครั้ง ถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ระบุว่า "ไปเปิดกล้องวงจรดูนะ ความดันนั้น กดกี่ที แล้วเป็นของใคร ของพ่อหรือของคนแซงคิว เรามีพยาน 3 คน นะ ที่เห็นความดัน 38"
ถ้าความดัน เป็นของคนไข้ก่อนหน้าพ่อ แสดงว่าเครื่องเสีย แนะนำให้มุงเอาไปทิ้งค่ะ อย่านำมาใช้อีกเลย
(ผอ บอกนักข่าว ฟังแล้ว แย่ว่ะ แก้ตัวทำไม) อย่าแถลงเถอะ ยิ่งดูแย่
ความยุติธรรม ไม่มีในหมู่คนจน คนไม่มีอำนาจ ไม่มีตำแหน่ง อย่างเรา จะไปเรียกร้องไรได้ ...
พ่อเราตายแล้ว โปรดอย่าออกมาแก้ตัว เลย ฟังดูมันแย่ว่ะ ...เอาเวลาไปปรับปรุงที่นั้นเถอะนะ ดีกว่า
ภาพค่าความดัน ในวันเกิดเหตุการณ์
ท่ามกลางคอมเม้นต์ ของชาวโซเชียลที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ว่า เหมือนทางโรงพยาบาลชี้แจงไม่หมด ไม่ใช่เรื่องจริง อยากดูกล้องวงจรปิด หากคนต้องเสียชีวิตเพราะยื้อไม่ไหว ยังพอทำใจกันได้ แต่นี่ถ้าไม่มีการแซงคิว เจ้าหน้าที่ใส่ใจในอาการที่หนักแล้ว คงยังพอมีทางยื้อให้ครอบครัวได้ร่ำลากัน บางคนก็บอกว่า ครอบครัวผู้เสียชีวิตอยากได้เพียงคำขอโทษให้รู้สึกดี ไม่ใช่คำแก้ตัว ที่ยิ่งฟังแล้วทำให้รู้สึกแย่ ว่าชีวิตคนทั้งคนไม่มีค่า
ขอบคุณเฟซบุ๊ก : Jiratchaya Rangsaritwirachot