- 09 ส.ค. 2562
คาราคาซังยังไม่รู้จะจบอย่างไร กับปัญหาขัดขัดแย้งเรื่องเงินชดเชยทางด่วน ระหว่างการทางพิเศษ หรือ กทพ. กับ บมจ. ทางด่วน และรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด หรือ BEM หลังจากบอร์ดกทพ.ยังเสียงแข็งเสนอให้ต่อสัญญาสัมปทานให้กับภาคเอกชน ออกไปอีก 30 ปี
คาราคาซังยังไม่รู้จะจบอย่างไร กับปัญหาขัดขัดแย้งเรื่องเงินชดเชยทางด่วน ระหว่างการทางพิเศษ หรือ กทพ. กับ บมจ. ทางด่วน และรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด หรือ BEM หลังจากบอร์ดกทพ.ยังเสียงแข็งเสนอให้ต่อสัญญาสัมปทานให้กับภาคเอกชน ออกไปอีก 30 ปี
ล่าสุด ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีตรองผู้ว่าฯกทม. โพสต์แสดงความเห็นในประเด็นนี้อีกครั้ง มีใจความสำคัญว่า "ค่าชดเชยที่หน่วยงานของรัฐต้องชดใช้ให้แก่เอกชนผู้รับสัมปทานโครงการของรัฐจากการที่หน่วยงานของรัฐไม่ปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานให้ครบถ้วนจนศาลตัดสินให้แพ้คดีมักเรียกกันว่า “ค่าโง่” ดังเช่น “ค่าโง่ทางด่วน” ที่อยู่ในกระแสความสนใจขณะนี้
ค่าโง่ ที่เกิดขึ้นจากหลายโครงการไม่สามารถหาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ ทำให้ยังคงมีค่าโง่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ค่าโง่ทางด่วนก็เช่นกันไม่มีการพูดถึงผู้กระทำให้เกิดค่าโง่ขึ้นมาเลย มีแต่เพียงพูดกันว่าจะขยายเวลาสัมปทานให้ผู้รับสัมปทานหรือไม่เท่านั้น เป็นการปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวล ด้วยเหตุนี้ ผมจึงอยากเชิญชวนท่านผู้อ่านมาช่วยกันหาตัวผู้กระทำให้เกิดค่าโง่ทางด่วนขึ้นมา
ค่าโง่ทางด่วนเกิดจากข้อพิพาทระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทยกับบริษัท ทางด่วน และรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ข้อพิพาทสำคัญก็คือข้อพิพาทจากการแข่งขัน กล่าวคือกรมทางหลวงได้ขยายดอนเมืองโทลล์เวย์จากอนุสรณ์สถานไปถึงรังสิต ทำให้เกิดเป็นคู่แข่งขันกับทางด่วนสายปากเกร็ด-บางปะอิน ซึ่งบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BEM) เป็นผู้รับสัมปทานจากการทางพิเศษฯ โดยศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้การทางพิเศษฯ แพ้คดี และให้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้รับสัมปทานเป็นเงิน 4,318 ล้านบาท ตามที่ผู้รับสัมปทานฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2542-2543 เท่านั้น
ส่วนความเสียหายในช่วงปี พ.ศ.2544-2561 มีมูลค่า 74,590 ล้านบาท ยังไม่เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ ซึ่งหากเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการจนถึงศาลปกครองสูงสุด แล้วการทางพิเศษฯ แพ้ จะทำให้การทางพิเศษฯ ต้องชำระเงินชดเชยให้ผู้รับสัมปทานจำนวน 74,590 ล้านบาท รวมเป็นเงินชดเชยที่เกิดจากข้อพิพาทจากการแข่งขันจำนวน 78,908 ล้านบาท (4,318+74,590) ซึ่งคิดเป็น 57.4% ของมูลค่าความเสียหายที่เกิดจากข้อพิพาททั้งหมดจำนวน 137,517 ล้านบาท
ดังนั้น ข้อพิพาทจากการแข่งขันจึงเป็นข้อพิพาทที่น่าสนใจอย่างยิ่งเนื่องจากมีมูลค่าสูง น่าสนใจว่าเหตุใดการทางพิเศษฯ จึงยอมลงนามในสัญญาสัมปทานทางด่วนปากเกร็ด-บางปะอิน เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2539 โดยมีข้อความสรุปได้ว่า “การทางพิเศษฯ จะชดเชยรายได้ให้ผู้รับสัมปทานกรณีมีการแข่งขัน” การทางพิเศษฯ ไม่รู้เลยหรือว่าจะมีการขยายดอนเมืองโทลล์เวย์จากอนุสรณ์สถาน ไปจนถึงรังสิตเพื่อรองรับการจราจรในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อปี พ.ศ.2541 หลังจากรัฐบาลในปี พ.ศ.2539 ได้มีมติให้ขยายดอนเมืองโทลล์เวย์จากดอนเมืองถึงอนุสรณ์สถาน
ก่อนลงนามในสัญญา การทางพิเศษฯ น่าจะฉุกคิดสักนิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่ดอนเมืองโทลล์เวย์ จะถูกปล่อยให้ด้วนอยู่แค่อนุสรณ์สถานเพราะมีการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์รออยู่ที่รังสิต อีกทั้ง รัฐบาลในปี พ.ศ.2539 ได้มีมติให้ขยายดอนเมืองโทลล์เวย์จากดอนเมืองถึงอนุสรณ์สถาน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าคงจะให้ขยายต่อไปจนถึงรังสิตเพื่อรองรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ถ้าฉุกคิดสักนิดก็จะรู้ว่าเป็นการเสี่ยงมากที่จะยอมให้มีข้อความดังกล่าวข้างต้นอยู่ในสัญญา
แต่จะตำหนิการทางพิเศษฯ เพียงหน่วยงานเดียวก็ไม่ได้ เพราะต่อมาในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2540 ได้มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้กรมทางหลวงขยายดอนเมืองโทลล์เวย์จากอนุสรณ์สถานไปจนถึงรังสิต ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะมีผลกระทบต่อรายได้ของผู้รับสัมปทานทางด่วนสายปากเกร็ด-บางปะอิน ตามหนังสือทักท้วงของผู้รับสัมปทานลงวันที่ 11 มีนาคม 2540
และที่สำคัญ ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2540 รับทราบผลกระทบของการขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ ไปจนถึงรังสิตที่จะมีต่อทางด่วนสายปากเกร็ด-บางปะอิน พูดได้ว่าเป็นการอนุมัติให้ขยายทั้งๆ ที่รู้ว่าจะผิดสัญญา .... เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ ท่านพอจะหา “ไอ้โม่ง” ค่าโง่ทางด่วนได้มั้ยครับ!!!
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-ปลดชื่อ บิ๊กโจ๊ก จากบอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
-ชำแหละค่าโง่ 1.8ล้าน “ต่อขยายโทลล์เวย์” ที่การทางพิเศษฯต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ไม่ได้ก่อ?
-ข่าวดีคนกรุง! "การทางพิเศษ" สั่งลดค่าทางด่วน แก้ปัญหารถติด (รายละเอียด)
-สั่งเด้ง ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย