- 09 มี.ค. 2563
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2563 เว็บไซต์กรมการจัดหางาน ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ด้วยข้อความว่า กระทรวงแรงงาน เผยสถิติเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ระงับการเดินทางผู้มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานต่างประเทศ 260 คน สั่งระงับการเดินทางไปเกาหลีใต้มากสุด จำนวน 220 คน ขณะที่มีคนหางานไปทำงานต่างประเทศ จำนวน 6,156 คน พบส่วนใหญ่ยังคงนิยมไปทำงานที่ไต้หวัน เตือนคนหางาน ให้ไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2563 เว็บไซต์กรมการจัดหางาน ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ด้วยข้อความว่า กระทรวงแรงงาน เผยสถิติเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ระงับการเดินทางผู้มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานต่างประเทศ 260 คน สั่งระงับการเดินทางไปเกาหลีใต้มากสุด จำนวน 220 คน ขณะที่มีคนหางานไปทำงานต่างประเทศ จำนวน 6,156 คน พบส่วนใหญ่ยังคงนิยมไปทำงานที่ไต้หวัน เตือนคนหางาน ให้ไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุ สั่งเข้มมาตรการลักลอบไปทำงานต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เผยสถิติเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สั่งระงับการเดินทางของคนหางานที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานต่างประเทศ และให้การยอมรับว่าจะไปทำงานในต่างประเทศ จำนวน 260 คน โดยระงับไปเกาหลีใต้มากที่สุด จำนวน 220 คน รองลงมาเป็นบาห์เรน จำนวน 22 คน โอมาน จำนวน 8 คน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำนวน 5 คน กาตาร์ จำนวน 4 คน และอินเดีย จำนวน 1 คน ขณะที่มีคนหางานเดินทางไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ ในเดือนกุมภาพันธ์ทั้งหมด จำนวน 6,156 คน ส่วนใหญ่ไปทำงานในแถบทวีปเอเชียมากที่สุด จำนวน 4,509 คน 2 อันดับแรก คือ 1. ไต้หวัน 2,725 คน 2. เกาหลีใต้ 841 คน รองลงมาเป็นประเทศในแถบตะวันออกกลาง 723 คน และประเทศในแถบยุโรป 481 คน
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และได้มีมาตรการตรวจเข้มคนหางานไปทำงานในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยได้สั่งการเร่งด่วนให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานประจำท่าอากาศยานต่างๆ เข้มงวด ตรวจสอบและระงับการเดินทางผู้ที่มีพฤติกรรมและต้องสงสัยว่าจะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศ พร้อมกับชี้แจงให้ทราบถึงการไปทำงานหรือฝึกงานในต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายว่าต้องแจ้งหรือขออนุญาตต่อกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
“ สาธารณรัฐเกาหลียังคงเป็นประเทศที่ ถูกระงับการเดินทางมากที่สุด และคนงานไทยมีกระแสนิยมไปทำงานมากขึ้น เพราะได้รับอัตราค่าจ้างที่สูง ประกอบกับนายจ้างต้องการจ้างแรงงานไทยเนื่องจากขยัน อดทน จึงทำให้มีแรงจูงใจไปทำงานมากขึ้น ซึ่งทางด่านตรวจคนเข้าเมืองสาธารณรัฐเกาหลีก็เพิ่มความเข้มงวดคนไทยที่จะเดินทางเข้าประเทศมากขึ้นเช่นกันเพราะปัจจุบันการเดินทางไปสาธารณรัฐเกาหลีไม่ต้องใช้วีซ่า ที่ผ่านมาพบว่า แรงงานไทยที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงาน ที่สาธารณรัฐเกาหลีนิยมแอบแฝงไปกับบริษัททัวร์ที่มีโปรแกรมท่องเที่ยวในเกาหลี และเมื่อเดินทางถึงสนามบิน ก็จะแยกออกจากกรุ๊ปทัวร์ทันที หรืออาจจะเที่ยวตามโปรแกรมทัวร์จนครบกำหนดการ แต่เมื่อถึงวันเดินทางกลับก็หลบหนีออกจากโรงแรมที่พักเพื่อหาทางไปยังสถานที่ทำงานของนายจ้างชาวเกาหลี
ขณะที่ การทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีอย่างถูกต้องตามกฎหมายทำได้ 2 วิธี คือ 1. ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) อนุญาตให้ทำงานได้ 5 กิจการคือ 1) กิจการอุตสาหกรรมการผลิต 2) กิจการเกษตรกรรม/ปศุสัตว์ 3) กิจการก่อสร้าง 4) กิจการประมง 5) กิจการบริการ และ “ จะต้องผ่านการทดสอบทักษะและภาษาเกาหลี ” ก่อนจึงจะได้รับการจัดส่งรายชื่อให้นายจ้างเกาหลีคัดเลือกให้เข้าไปทำงาน 2. แรงงานต่างชาติประเภทช่างฝีมือ ซึ่งจะต้องได้รับอนุมัติหรือขอวีซ่าจากกระทรวงยุติธรรมสาธารณรัฐเกาหลี
นายสุชาติฯ กล่าวอีกว่า กรมการจัดหางานให้ความสำคัญกับปัญหาแรงงานไทยหลบหนีเป็นแรงงานผิดกฎหมาย โดยได้แจ้งเตือนคนหางานนับตั้งแต่วันที่ได้รับการคัดเลือกจากนายจ้าง แรงงานไทยที่หลบหนีไปทำงานอย่างผิดกฎหมายจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายแรงงานและสวัสดิการใดๆ ทั้งจากการถูกโกงค่าแรง ทำร้าย รวมทั้ง กรณีเจ็บป่วย พิการหรือเสียชีวิต จะไม่ได้รับสวัสดิการใดๆ ต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ เอง ดังนั้น จึงขอให้แรงงานไทยอย่าหลงเชื่อผู้ที่ชักชวนให้ไปทำงานในต่างประเทศโดยผิดกฎหมาย เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของคนไทย และไม่ให้กระทบต่อคนไทยที่ปฏิบัติถูกต้อง