- 10 มี.ค. 2563
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 จากกรณีที่ นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อม น.ส.ประภาวรรณ ใจกล้า อายุ 19 ปี นิสิตชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง จากกรณีที่ น.ส.ประภาวรรณ นิสิตสาววัย 19 ปี ถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2558
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 จากกรณีที่ นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อม น.ส.ประภาวรรณ ใจกล้า อายุ 19 ปี นิสิตชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง จากกรณีที่ น.ส.ประภาวรรณ นิสิตสาววัย 19 ปี ถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2558
โดยครั้งนั้นน.ส.ประภาวรรณ นิสิตสาว วัย 19 ปี เปิดเผยว่า รู้จักกับ ผู้หญิงอายุประมาณ 50 ปี รายหนึ่ง ซึ่งแม่ของตนทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านคาร์แคร์ ย่านประชาชื่น โดยแม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลที่พัก ขณะเดียวกัน ตนได้เดินทางไปช่วยแม่ทำงานในช่วงปิดเทอม ต่อมาหญิงรายดังกล่าว ได้ชักชวนให้ไปทำงานที่ประเทศฮ่องกง แต่ตนปฏิเสธไป เนื่องจากสอบติดมหาวิทยาลัย และกำลังจะไปเข้าเรียน ทั้งนี้ ผู้หญิงวัย 50 ปีคนนี้ ยังคงชักชวนให้ไปทำงานด้วยอยู่ตลอดเวลา กระทั่ง พ่อ และ แม่ ตัดสินใจลาออกจากงาน และกำลังจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่พัก
จากนั้นผู้หญิง วัย 50 ปี ซึ่งอ้างตัวเป็น "คุณหญิง" รายนี้ ได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม ตน พร้อมกับ พ่อและแม่ ข้อหาลักทรัพย์สินมีค่าไป เช่น ทองคำแท่งน้ำหนัก 10 บาท รวม 40 แท่ง ทองรูปพรรณ, เพชร และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ ที่วางไว้ตามโต๊ะและจุดต่างๆ ภายในห้องพัก รวม 11 รายการ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ทั้งที่ไม่เป็นความจริง จึงอยากร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง คืนความเป็นธรรมให้ตนและครอบครัว
ขณะนั้น นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กล่าวว่า ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวกับพนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น แล้ว พบว่า ผู้หญิง วัย 50 ปี อ้างตัวเป็น "คุณหญิง" รายดังกล่าว เคยมีลักษณะร้องทุกข์ในลักษณะเช่นนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ประกอบกับพิจารณาแล้วพบว่า มีพฤติการณ์บางอย่างเป็นที่น่าผิดสังเกต จึงนำ น.ส.ประภาวรรณ เข้าร้องทุกข์กับตำรวจกองปราบ เพื่อขอตรวจสอบข้อเท็จจริง
ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊ก จตุรงค์ สุขเอียด สื่อมวลชนชื่อดังได้อัพเดตข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "จบแล้วละครับ ...อัยการสูงสุด ทำความเห็นสั่งไม่ฟ้อง นายชูเกียรติ ใจกล้า นางประภาพร ทองเฟื้องและน.ส.ประภาวรรณ ใจกล้า (ก้อย) จากคดีที่ถูกนางไก่ แจ้งความปรักปรำที่สน.ประชาชื่นเมื่อปี 2558 ว่าทั้ง 3 คนพ่อแม่และลูกลักทรัพย์ในห้องพักไปมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยถูกออกหมายจับต้องหนีคดี ตำรวจไล่จับน้องก้อยจำคุก จนขาดสิทธิ์เรียน พ่อกับแม่หนีหมาย เพราะห่วงลูกอีก2คนไม่มีคนเลี้ยง
น้องก้อยติดสินใจ ส่งข้อความ in box หาผมในคืนหนึ่ง ผมไปหาที่บ้านที่แม่และน้องก้อยอยู่ แล้ว ออกสืบหาหลักฐานการแจ้งความ พร้อมประสานทนายสงกรานต์ กับกองทุนช่วย ทั้งคดีและเงินประกัน นำไปสู่การเปิดโปงพฤติกรรม แต่ที่ข่าวนี้ได้ผลเร็ว ก็เพราะมีน้องๆพี่ๆผู้สื่อข่าวทุกสำนักช่วยกันขุดคุ้ยจน ต่อมาตำรวจถูกย้าย 11 นาย นางไก่หรือนางมณฑา หยกรัตนกาญจน์ ถูกจับดำเนินคดี 3 ข้อหา แจ้งความเท็จ ค้ามนุษย์และหมิ่นสถาบัน
นางไก่ยอมรับสารภาพ ข้อหาหมิ่นสถาบัน และข้อหาแจ้งความเท็จ สู้ในคดีค้ามนุษย์ 3คดี แพ้ใน 1 คดี ต้องชดเชยเงินและถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำจนปัจจุบัน โทษ 3 สำนวน 17ปี 12เดือน ส่วนเหยื่อ ทั้งหนูนา นางกัญญา กาบแก้วหญิงชาวลาว ก็ชนะคดีทั้งหมด
สุดท้ายแม้ผมรอจนแก่ก็ตาม วันนี้อัยการสูงสุดแจ้งแก่ทั้ง 3 ว่า ยกฟ้อง เป็นอันสิ้นสุดการต่อสู้ ขอให้นับจากนี้ไปมีชีวิตปลอดภัย และนี่คือพลังของสื่อที่เมื่อเวลาช่วยกันหาความจริงอีกคดีครับ เพียงผมและทีมงานไม่กี่คนไม่มีปัญญาครับ ขอแจ้งความคืบหน้าและขอบคุณแก่เพื่อนร่วมอาชีพ และผู้อยู่เบื้องหลังทุกท่าน มา ณ ที่นี้ด้วย ครับ"
ทั้งนี้ยังมีผู้ที่ตั้งข้อสงสัยว่า ขาดสิทธิเรียน จะมีวิธีไหนช่วยน้องเขาได้ไหม ผอ.จะมีวิธีช่วยมั้ย กระทรวงศึกษาธิการ มีวิธีมั้ย การชดเชย จะชดเชยยังไง ซึ่งเขาได้เข้ามาให้ความกระจ่างว่า "ตอนหลังเขาได้โควต้าม.เกษตร สกลนคร กำลังจบจะครับ"
ขอบคุณ จตุรงค์ สุขเอียด