10 โรคระบาด ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดถึง 200 ล้านคน

10 โรคระบาด ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดถึง 200 ล้านคน

ปัจจุบันที่สถานการณ์ COVID-19 โรคระบาชนิดใหม่ ยังคงอยู่ในระดับที่วางใจไม่ได้ และยังคงไม่อาจรู้ได้ว่าจะสิ้นสุดลงในวันไหน ยังพอโชคดีว่าการแพทย์สมัยใหม่ในยุคนี้มีความเจริญก้าวหน้ามาก และเราก็พอจะมีวิธีรับมือจากการเรียนรู้เหตุการณ์โรคระบาดในอดีตมาบ้างแล้ว

 

แต่สำหรับผู้คนในยุคโบราณนั้น น่าเสียดายที่การแพทย์นั้นยังไม่พัฒนาเท่า เกิดเชื้อโรคระบาดแต่ละครั้งจึงรุนแรง และมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงมาก บางครั้งก็ถึงหลักล้านเลยทีเดียว ครั้งนี้เราจะพาคุณย้อนอดีต ไปรู้จักกับ 10 เหตุการณ์การแพร่ของโรคระบาด ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ดังต่อไปนี้ครับ

1. โรคระบาด อันโทนีน Antonine Plague
ค.ศ.165

โรคระบาดอันโทนีน หรืออีกชื่อหนึ่งว่า the Plague of Galen เป็นโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษที่ระบาดในอาณาจักรโรมัน สาเหตุการเกิดนั้นเชื่อกันว่ามาจากกองทัพโรมันที่เดินทางกลับมาจากแถบตะวันออกใกล้ (Near East หมายถึงประเทศแถบเอเชียตะวันตก ตุรกี อียิปต์ ไปจนถึงจักรวรรดิออตโตมัน) ทั้งนี้ยังไม่ทราบต้นตอการเกิดที่แน่ชัด เหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่กรุงโรมมาก มีผู้เสียชีวิตถึงวันละ 2,000 คน ประมาณยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมดประมาณ 5 ล้านคน การแพร่ระบาดในครั้งนี้ยังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงถึงเรื่องของเส้นทางการค้าขาย Indo-Raman Trade ในแถบมหาสมุทรอินเดียด้วย

 

2. กาฬโรค The Black Death
ค.ศ.1346-1353

10 โรคระบาด ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดถึง 200 ล้านคน

หนึ่งในเหตุการณ์โรคระบาดที่ร้ายแรง และโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดถึง 75-200 ล้านคน นับเป็นถึง 1 ใน 3 ของประชากรโลกทั้งหมดเลยทีเดียว มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย เยอซิเนีย แพสทิซ (Yersinia pestis) ซึ่งแพร่ระบาดอยู่ในสัตว์จำพวกหนูในแถบตอนกลางของเอเชีย โดยจุดเริ่มต้นนั้นเชื่อว่ามาจากขบวนคาราวานที่เดินทางมาจากเอเชีย เข้ามาถึงยังท่าเรือซิซิลี ในอิตาลีประมาณปี 1347 ก่อนที่จะแพร่ต่อไปทั่วทั้งทวีปยุโรป ว่ากันว่าซากศพของคนที่ตายนั้นทับถมกันจนสูงเป็นเนิน ทำให้ไม่สามารถเผาทำลายได้อย่างทันท่วงที เมื่อซากเริ่มเน่าสลายก็ก่อให้เกิดเชื้อโรคกระจายลงทั้งพื้นดิน และแหล่งน้ำต่อไปไม่จบสิ้น

ผู้ป่วยที่ติดโรคนี้จะมีหลายอาการ ขึ้นอยู่กับสถานที่ และช่วงเวลาที่พบ โดยมีลักษณะร่วมคือผู้ป่วยจะมีฝีมะม่วงขึ้นบริเวณข้อพับ ขาหนีบ คอ รักแร้ มีไข้สูง อาเจียนเป็นเลือด และเสียชีวิตภายในเวลา 2-7 วัน

ส่วนคำเรียก Black Death นั้นมีความหมาย 2 อย่าง นั่นคืออาการขั้นสุดท้ายของผู้ป่วยจากกาฬโรคนั้น ร่างกายจะกลายเป็นสีดำเพราะมีเลือดออกใต้ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า และอีกความหมายนั้นสื่อถึงความน่าสะพรึงกลัวของโรคร้ายนี้ และอารมณ์เศร้าหมองของผู้คนในยุคสมัยนั้น

 

3. The Columbian Exchange
ค.ศ.1492

10 โรคระบาด ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดถึง 200 ล้านคน

นับตั้งแต่กองเรือสเปนเข้ามามีอำนาจในแถบน่านน้ำทะเลแคริบเบียน โรคติดต่อจากยุโรปก็เดินทางเข้ามาถึงบริเวณหมู่เกาะทางใต้ของเม็กซิโกเช่นกัน ทั้งฝีดาษ หัด กาฬโรค ซึ่งก็คร่าชีวิตของผู้คนในแถบนี้ไปถึง 90% ยกตัวอย่าง เช่น

เกาะ Hispaniola แต่เดิมมีจำนวนประชากรประมาณ 60,000 คน แต่จากการมาถึงของนักเดินเรือ Christopher Columbus ในปี 1548 จำนวนชาวเกาะนั้นลดลงเหลือเพียง 500 คน

ปี 1520 อาณาจักร Aztec ต้องล่มสลายลง จากการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษที่เข้ามากับทาสชาวแอฟฟริกัน

 

4. The Great Plague of London
ค.ศ.1665

อีกหนึ่งโรคระบาดครั้งร้ายแรงของอังกฤษ นับตั้งแต่เหตุการณ์ Black Death ในปี 1348 โดยเชื่อกันว่าสาเหตุหลักมาจากหนู รวมไปถึงความสกปรกในย่านที่อยู่อาศัยที่ดึงดูดพวกหนูเข้ามา ประชากรในกรุงลอนดอนกว่า 20% เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข และแมวก็ถูกกำจัดทิ้งเพราะเชื่อว่าเป็นสาเหตุของการแพร่เชื้อด้วย แต่นั่นยิ่งทำให้ประชากรหนูแพร่จำนวนมากขึ้นกว่าเดิม

5. อหิวาตกโรค First Cholera Pandemic
ค.ศ.1817

 การอุบัติขึ้นครั้งแรกของเชื้ออหิวาตกโรค เกิดขึ้นในรัสเซีย มีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 1 ล้านคน เชื้อแพร่กระจายผ่านทางน้ำ และอาหาร ติดไปกับทหารชาวอังกฤษที่นำเชื้อโรคไปแพร่ต่อยังประเทศอินเดีย มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกล้านคน จากนั้นเชื้อก็แพร่ไปถึงอังกฤษ จากกองเรืออังกฤษไปสู่สเปน แอฟริกา อินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น อิตาลี เยอรมนี และอเมริกา กระทั่งการแพทย์สามารถผลิตวัคซีนขึ้นมาเป็นผลสำเร็จในปี 1885 แต่การแพร่ระบาดของเชื้อนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป

 

6. การแพร่ระบาดของกาฬโรค ครั้งที่ 3 The Third Plague Pandemic
ค.ศ.1855

เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศจีน ก่อนที่จะลามไปยังอินเดีย และฮ่องกง ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปถึง 15 ล้านคน ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 ของโลกที่มีการระบาดของเชื้อกาฬโรค (ครั้งที่ 1 ช่วงปี 541-542 ช่วงอาณาจักรไบแซนไทน์ และครั้งที่ 2 คือ Black Death ในปี 1348) ครั้งนี้เชื้อโรคแพร่โดยมีหนู และตัวหมัดเป็นพาหะ

 

7. ไข้หวัดใหญ่รัสเซีย Russian Flu
ค.ศ.1889

เหตุการณ์ไข้หวัดใหญ่ระบาดครั้งแรกของประเทศรัสเซีย ซึ่งเชื้อแพร่มาจากแถบไซบีเรีย และคาซัคสถาน เข้าถึงเมืองใหญ่อย่างมอสโคว์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ และสุดท้ายก็ไปถึงส่วนต่างๆ ในแถบยุโรป ภายในเวลา 1 ปี เชื้อก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไปจนถึงทวีปอเมริกาเหนือ และแอฟริกาในที่สุด กระทั่งสุดท้ายในปี 1890 มีจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 360,000 คน

 

8. ไข้หวัดใหญ่สเปน Spanish Flu
ค.ศ.1918

10 โรคระบาด ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดถึง 200 ล้านคน

เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่มีต้นตอมาจากสัตว์ปีก มีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมทั่วโลกถึง 50 ล้านคน นับเป็นโรคติดต่อที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดนับแต่เหตุการณ์ Black Death โดยทฤษฎีแรกการกำเนิดของไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้ คาดว่าเชื้อไวรัสน่าจะติดมากับกลุ่มแรงงานชาวจีน แล้วไปกลายพันธุ์ที่อเมริกา แต่สุดท้ายสถานที่ที่เกิดการระบาดร้ายแรงที่สุด เริ่มตันที่กรุงแมดริด ประเทศสเปน ทำให้ถูกเรียกว่า "ไข้หวัดสเปน" นั่นเอง

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะมีไข้ จาม คลื่นไส้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และท้องเสีย ซึ่งเป็นอาการแรกเริ่มของไข้หวัดใหญ่ทั่วไป แต่หลังจากนั้นช่วงปี 1918 เชื้อก็กลายพันธุ์ และมีความร้ายแรงกว่าเก่า การระบาดของไข้หวัดสเปนนี้กินอาณาเขตทั้งในอเมริกา และยุโรป ภายในเวลาสามปีมียอดผู้เสียชีวิตถึง 100 ล้านคน มากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายเท่า และสุดท้ายการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนก็ค่อยๆ ลดลง และหายไปอย่างลึกลับช่วงปี 1919

 

9. ไข้หวัดใหญ่เอเชีย Asian flu
ค.ศ.1957

ไข้หวัดใหญ่เอเชียนี้ยังคงเป็นเชื้อสายพันธุ์เดียวกันกับไข้หวัดสเปน นั่นคือ ไข้หวัดนก นั่นเอง มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 1-4 ล้านคน โดยเริ่มการระบาดในฮ่องกง ก่อนจะแพร่กระจายสู่จีน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ซึ่งนับเป็นความโชคดีที่วัคซีนไข้หวัดนกนั้นสามารถผลิตขึ้นได้เป็นครั้งแรกในปีนั้นเอง จึงยับยั้งการแพร่กระจายโรคระบาดนี้ได้เป็นผลสำเร็จ

 

10. ไวรัส HIV / AIDS
ค.ศ.1981

เอดส์ หรือเชื้อไวรัส HIV เป็นเชื้อที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานบกพร่อง จนสุดท้ายก็เสียชีวิตจากภาวะโรคแทรกซ้อน คาดกันว่าเชื้อนั้นกลายพันธุ์มาจากไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในสัตว์ประเภทลิง เช่น ชิมแปนซี หลังจากนั้นไวรัสเหล่านั้นอาจติดเข้ามาในคน โดยเริ่มแรกเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในคนเท่านั้น ต่อมาจึงกลายพันธุ์เป็นโรคเอดส์

CR.trueid.net